ความตกลงทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้รับการลงนามโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา โดยความตกลงทางการค้าดังกล่าวมีการลดภาษีการนำเข้ารถยนต์จาก จากสหราชอาณาจักรจากอัตรา 27.5% เหลือ อัตรา 10% สำหรับโค้วต้าการนำเข้ารถยนต์ 100,000 คัน ทางด้านสมาคม the Society of Motor Manufacturers and Traders (SMMT) ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ผลิตรถยนต์ในสหราชอาณาจักร เห็นว่าข้อตกลงนี้จะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ในสหราชอาณาจักรมีความได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง เช่น อิตาลี และ เยอรมัน ซึ่งยังคงต้องเสียภาษีในอัตรา 27.5% นอกจากนี้ ความตกลงนี้ยังมีการลดอัตราภาษีสำหรับอุตสหกรรมการบิน เช่น เครื่องยนต์ และ อะไหล่ชิ้นส่วน เหลือ 10% ขณะนี้สหราชอาณาจักรยังคงเดินหน้าในการเจรจาเพื่อสามารถบรรลุข้อตกลงลดภาษีสำหรับเหล็กและอลูมิเนียมให้เหลือ 0% จาก 25% ทั้งนี้ สำหรับสินค้าอื่นๆ มีการเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10%
ในส่วนหนึ่งของความตกลง สหราชอาณาจักรได้อนุญาตโควตาการนำเข้าเอทานอลปลอดภาษีจากสหรัฐฯ (tariff-free quota) จำนวน 1.4 พันล้านลิตร จากเดิมที่นำเข้าเอทานอลจากสหรัฐฯ ต้องเสียภาษีในอัตรา 19% อย่างไรก็ตาม บริษัท ABF Sugar ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานผลิตไบโอเอทานอลที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร ได้ออกมาเตือนว่าอุตสาหกรรมผลิตเอทานอลในสหราชอาณาจักรอาจจำเป็นต้องปลดพนักงาน หากไม่มีการปกป้องตลาดภายในประเทศอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ สหราชอาณาจักรยังตกลงยกเลิกภาษีนำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐฯ ที่เดิมเก็บในอัตรา 20% และมีการเพิ่มโควตาการนำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐฯ เป็น 13,000 ตัน โดยรัฐบาลอังกฤษยืนยันว่าจะไม่มีการลดมาตรฐานด้านอาหาร และเนื้อวัวที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยการนำเข้าต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยทางอาหารของสหราชอาณาจักร
ที่มา: BBC News
ข้อมูลเพิ่มเติม/ความเห็น สคต.
นับตั้งแต่สหราชอาณาจักรได้ออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) รัฐบาลอังกฤษได้บรรลุความ ตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ อินเดีย ในส่วนของไทยนั้น เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 นายเดวิด คาเมอรอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตนายกรัฐมนตรี สหราชอาณาจักร เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการเพื่อกระชับความสัมพันธ์และขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์สหราชอาณาจักร-ไทย (Thailand-UK Strategic Partnership Roadmap) กับไทย โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามแผนการว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ สหราชอาณาจักร-ไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ด้านกลาโหม สภาพภูมิอากาศและพลังงาน การค้าและการลงทุน เกษตรกรรม ดิจิทัลและเทคโนโลยี สาธารณสุขและการศึกษา
สรุปโดย สคต. ลอนดอน