ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับข้าวที่เน้นด้านสุขภาพ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวผสมธัญพืช ข้าวบาร์เลย์ และข้าวที่มีฉลากแสดงคุณประโยชน์ทางสุขภาพ มีการเติบโตขึ้นถึง 17.4% และมีมูลค่าตลาดรวม สูงถึง 18,800 ล้านเยน (ประมาณ 4,112 ล้านบาท) ซึ่งนับว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และหากเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อน ตลาดนี้เติบโตเกือบเท่าตัว ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดเติบโตอย่างก้าวกระโดดคือแนวโน้มการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่มากขึ้นในหมู่ชาวญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับราคาข้าวขาวในช่วงนี้ที่สูงขึ้น จึงทำให้ผู้บริโภคนิยมนำข้าวเพื่อสุขภาพและธัญพืชชนิดอื่นมาผสมกับข้าวขาวในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น
ตลาดข้าวเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมได้แก่:
• ข้าวบาร์เลย์ (Seimugi) เติบโตขึ้น 19.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 6,700 ล้านเยน (ประมาณ 1,465 ล้านบาท) หรือประมาณ 36% ของตลาดรวม
• ข้าวผสมธัญพืชหลายชนิด (Mix Zakkoku) เติบโต 6.6% อยู่ที่ 4,700 ล้านเยน (ประมาณ 1,028 ล้านบาท) หรือ 25% ของตลาด
• ข้าวกล้องแปรรูปและข้าวกล้องงอก (Germinated brown rice) ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแต่เพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนเท่านั้น แต่ธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจอาหารพร้อมรับประทาน (ข้าวกล่องมื้อกลางวัน/อาหารสำเร็จรูป) ก็นิยมใช้ข้าวเพื่อสุขภาพมากขึ้นเพื่อควบคุมต้นทุนจากราคาข้าวที่แพงขึ้น
บริษัท Hakubaku ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม ได้จำหน่ายข้าวบาร์เลย์ราคาถูกสำหรับร้านอาหาร และมียอดขายเพิ่มขึ้น 53% จากปีก่อน นอกจากนี้ บริษัท Yamato Rice มียอดขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากข้าวกล้องที่สูงขึ้น โดยเฉพาะผงข้าวกล้องงอกที่มีสาร GABA สำหรับโรยอาหาร ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 60% จากปีก่อน โดยได้ผลตอบรับดีจากกลุ่มผู้หญิงที่ใส่ใจสุขภาพ
ระบบการนำเข้าข้าวของญี่ปุ่น
โดยปกติแล้ว ประเทศญี่ปุ่นมีการนำเข้าข้าวด้วยกัน 2 วิธี:
1. ระบบโควตาไร้ภาษี—เป็นระบบที่รัฐบาลญี่ปุ่นควบคุมผ่านระบบ Minimum Market Access ตามที่ผูกพันไว้กับ WTO ตั้งแต่ปี 2538 โดยให้บริษัทที่ลงทะเบียนไว้เข้าร่วมการประมูลโดยไม่มีภาษีนำเข้า ปริมาณโควตารวมทั้งหมดอยู่ที่ 770,000 ตัน/ปี โดยแบ่งออกเป็น Ordinary Import (สำหรับอุตสาหกรรม) จำนวน 670,000 ตัน/ปี และ Simultaneous Buy & Sale / SBS (สำหรับบริโภค) จำนวน 100,000 ตัน/ปี โดยในปีงบประมาณ 2566 ข้าวไทยสามารถประมูลโดยไม่มีภาษีนำเข้าได้รวม 231,674 ตัน อย่างไรก็ตาม จากผลการเจรจาภาษีระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่าจะเพิ่มปริมาณนำเข้าข้าวสหรัฐฯภายใต้โควตาดังกล่าวนี้อีก 75% ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ข้าวสหรัฐฯ จะกินพื้นที่ส่วนแบ่งเกือบทั้งหมดในโควตานี้ และจะบีบบังคับให้ข้าวจากประเทศไทยและประเทศอื่นๆ หันไปพึ่งพาระบบนำเข้านอกโควตาแบบเสียภาษีมากขึ้น
2. การนำเข้านอกโควตาแบบเสียภาษี—การนำเข้ารูปแบบนี้มีภาษีนำเข้าที่ค่อนข้างสูงถึง 341 เยน/กิโลกรัม ทำให้ในอดีตเป็นวิธีที่ไม่ได้รับความนิยมมากสักเท่าไหร่ ทว่าในปี 2567 ได้เริ่มมีการนำเข้านอกโควตาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนข้าวขาวในประเทศ
ข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.
จากแนวโน้มความสนใจเรื่องสุขภาพและราคาข้าวที่สูงขึ้น ผู้บริโภคญี่ปุ่นเริ่มหันมาเลือกข้าวกล้องและธัญพืชอื่น ๆ แทนข้าวขาวมากขึ้น หากพิจารณาจากสถาการณ์การเจรจาการค้าระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ จะเห็นได้ว่า ข้าวจากประเทศอื่นอาจต้องพึ่งพาการนำเข้าแบบนอกโควตาซึ่งเสียภาษี อย่างไรก็ดี แม้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น แต่ก็ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการประมูลหรือปริมาณเหมือนระบบของรัฐ ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยอาจพิจารณาปรับกลยุทธ์ เช่น การส่งออกข้าวที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น ไรซ์เบอร์รี่ หรือข้าวเพื่อสุขภาพที่มีคุณสมบัติเพื่อสุขภาพชัดเจน เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ฉบับที่ 43 วันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2568
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
แปลและเรียบเรียงจาก
หนังสือพิมพ์ The Japan Food Journal ฉบับวันที่ 16 กรกฎาคม 2568
ภาพประกอบข่าวจากเว็บไซต์
https://www.satofull.jp/products/detail.php?product_id=1535923
https://www.yodobashi.com/product/100000001003282199/