fb
ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อาจกลายเป็นฝันร้ายของยุโรปจริงหรือ...

ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ อาจกลายเป็นฝันร้ายของยุโรปจริงหรือ...

โดย
thanith@ditp.go.th
ลงเมื่อ 15 สิงหาคม 2568 09:52
21

ข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพยุโรป (EU) ได้เสร็จสิ้นทันกำหนดเส้นตาย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องนี้ถือเป็นข่าวสำคัญด้านนโยบายเศรษฐกิจประจำสุดสัปดาห์ และจากการประเมินภาพรวมก็ค่อนข้างชัดเจนว่า EU ได้ตกเป็นผู้แพ้ในการเจรจาและต้องยอมรับข้อตกลงที่ไม่แฟร์นี้” โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากร 15% สำหรับสินค้าและบริการที่ส่งออกจาก EU ไปสหรัฐฯ ในขณะที่ EU จะไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าหลายตัวจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ EU ยังได้มีข้อตกลงที่จะซื้อ ยุทโธปกรณ์ ก๊าซธรรมชาติเหลว น้ำมัน และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ด้วย ซึ่งนาย Donald Trump กล่าวว่า น่าจะมีมูลค่ารวมกันถึง 7.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน EU ยังได้วางแผนที่การลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ อีก 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของข้อตกลงยังคงรอการพิจารณาอยู่ โดยการประเมินรายละเอียดอย่างเต็มรูปแบบยังคงต้องรอดูกันต่อไป และมีการประกาศว่า EU จะได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าส่งออกหลายรายการจากสหรัฐฯ อาทิ ส่วนประกอบอากาศยาน เคมีภัณฑ์ ยาสามัญ อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และวัตถุดิบสำคัญบางชนิด สำหรับ ภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่สูงมากก็ยังคงมีอยู่ต่อไป ในขณะที่มาตรการภาษีที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกเวชภัณฑ์ยาไปยังสหรัฐฯ ยังคงความไม่ชัดเจนต่อไป

สำหรับภาคเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเยอรมันที่เน้นธุรกิจการส่งออกเป็นหลักนั้น ข้อตกลงนี้เท่ากับภาระภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนที่นาย Trump จะประกาศใน “วันปลดปล่อย (Liberation Day)” เสียอีก สถานการณ์นี้ได้สร้างความตึงเครียดให้กับภาคการส่งออกเป็นอย่างมาก และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของบริษัทยุโรปที่ผลิตในสหรัฐฯ อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนี และยังไม่มีใครทราบว่า ผลกระทบทั้งหมดจากการขึ้นราคาสินค้าที่เกิดขึ้นนั้น จะส่งผลต่อผู้บริโภคชาวอเมริกันมากน้อยขนาดไหน  ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว เป็นไปได้ที่ปริมาณการค้าระหว่างสหรัฐฯ และ EU อาจลดลง ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจอย่างแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่า มาตรการนี้จะช่วยลดความไม่สมดุลของดุลการชำระเงิน (Balance of Payments) ของสหรัฐฯ ได้อย่างไร โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ลดลงนี้ และในทางตรงกันข้ามที่การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มายัง EU ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดการขาดดุลในบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ของสหรัฐฯ แต่ในทางกลับกันการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคเอกชนยุโรปในสหรัฐฯ ประกอบกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลมาจากรายได้ภาษีที่ลดลงจากนโยบาย One Big Beautiful Bill นั้น นำไปสู่การนำเข้าเงินทุน (Capital Import) เพิ่มขึ้น แต่การนำเข้าเงินทุนสุทธิที่สูงขึ้นนั้นจะต้องสอดคล้องกับขาดดุลในบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ที่สูงขึ้นโดยอัตโนมัตินั่นเอง

ซึ่งหากมองแยกกัน ภายใต้บริบทของการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การที่ EUนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ควรได้รับประเมินและมองในแง่บวก ซึ่งการกระทำนี้จะทำให้ EU สามารถลดการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การนำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมจากสหรัฐฯ ก็ไม่ถูกมองในเชิงลบเหมือนในอดีตอีกแล้ว เพราะในเวลานี้ อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ของยุโรปกำลังเดินหน้าถึงขีดจำกัดด้านกำลังการผลิต ดังนั้น การขยายกำลังการผลิตในยุโรปยังเป็นเรื่องที่ล่าช้า ซึ่งหากประเทศสมาชิก EU ต้องการติดตั้งอาวุธใหม่ พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสอดคร้องกับสถานการณ์ของเยอรมนี โดยปัจจุบันเยอรมนีมีเป้าหมายที่จะฟื้นฟูขีดความสามารถด้านการป้องกันประเทศในระยะเวลาอันสั้น แต่อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นดำเนินการคล้ายกับภาคพลเรือนอื่น ๆ ทั่วโลก โดยห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) อุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์มีความเป็นสากล และส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศตะวันตกเป็นหลัก การเรียกเก็บภาษีศุลกากร 15% อาจนำไปสู่ความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มต้นทุน และจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการผลิตในประเทศโดยปริยาย ดังนั้น จึงยังคงมีศักยภาพมหาศาลและมีความจำเป็นในการขยายความเป็นอิสระของยุโรปในภาคอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้มากขึ้น แต่ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการนำเข้าอาวุธ และพลังงานจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นนั้น กลับมีความแตกต่างทางการเมืองออกไปจากการเก็บอัตราภาษีศุลกากรโดยสิ้นเชิง การกระทำดังกล่าวจะทำให้สหรัฐฯ และ EU ต้องกลับมาขยับตัวเข้าใกล้กันมากขึ้น พันธมิตรทางทหารกำลังได้รับการเสริมความแข็งแกร่งของประเทศตะวันตกอีกครั้ง แม้ว่านโยบายภาษีศุลกากรของ Trump ที่เป็นหัวใจสำคัญของความแตกแยกในโลกตะวันตก แต่ข้อตกลงด้านอาวุธและพลังงานกลับกลายเป็นกาวที่จะเชื่อมความสามัคคีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นนั้นเอง ซึ่งการที่สหรัฐฯ และ EU จับมือเดินไปด้วยกันนี้ จะทำให้จีน และรัสเซียให้ความสนใจกับสัญญาณนี้มากขึ้นเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม EU แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับข้อตกลงการค้าฉบับนี้ EU และประเทศสมาชิกต้องร่วมกันสรุปประเด็นต่าง ๆ จากข้อตกลงที่สอดคล้องให้เร็วที่สุด อีกทั้งเร่งผ่านสัตยาบันข้อตกลงการค้ากับกลุ่มประเทศ Mercosur โดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าอื่น ๆ จะต้องได้รับการสรุปอย่างเร่งด่วน เหนือสิ่งอื่นใดอุปสรรคทางการค้าภายใน EU โดยเฉพาะในภาคบริการ ควรหายไปจาก EU ได้สักที และควรเร่งเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของระบบเศรษฐกิจยุโรปผ่านการปฏิรูปที่มุ่งเน้นตลาดออกไปอีก

โดยนาย Lars Feld ศาสตราจารย์ด้านนโยบายเศรษฐกิจที่มหาวิทยาลัย Freiburg เยอรมนี และผู้อำนวยการสถาบัน Walter-Eucken สถาบันที่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศ

 

จาก Handelsblatt 15 สิงหาคม 2568

Share :
Instagram