fb
การถ่ายโอนสินค้าผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) ภัยที่ต้องพึงระวัง
โดย
Worawutw@ditp.go.th
ลงเมื่อ 10 กรกฎาคม 2568 11:00
74

บทสรุป

  • สหรัฐฯ นำเข้าแร่พลวงออกไซด์จากไทยและเม็กซิโกเพิ่มขึ้นมากหลังจีนห้ามการส่งออก

  • เส้นทางการค้าที่เปลี่ยนไปสะท้อนว่ามีการถ่ายโอนสินค้าผ่านประเทศที่สาม (Transshipment)

  • บันทึกการขนส่งแสดงให้เห็นว่า การส่งออกแร่พลวงไปยังสหรัฐฯ โดยบริษัท Thai Unipet ซึ่งมีเจ้าของเป็นจีน เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เนื้อหาสาระข่าว: ปริมาณการนำเข้าแร่พลวง (Antimony) ซึ่งเป็นโลหะสำคัญที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ ชิป และสารหน่วงการติดไฟ จากประเทศไทยและเม็กซิโกเข้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ หลังจากที่จีนสั่งห้ามส่งออกแร่ธาตุดังกล่าวไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลจากศุลกากรและเอกสารการขนส่ง โดยมีบริษัทของคนจีนอย่างน้อยหนึ่งรายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเช่นนี้

จีนนั้น มีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในตลาดแร่พลวง รวมถึงแกลเลียมและเจอร์เมเนียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีการทหาร โดยรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการห้ามส่งออกแร่ธาตุดังกล่าวไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการกีดกันด้านชิปจากจีน การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการค้าดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเร่งรีบของสหรัฐฯ ในการจัดหาแร่ธาตุสำคัญ และปัญหาที่จีนต้องเผชิญในการบังคับใช้มาตรการควบคุม ซึ่งจะส่งผลต่อการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจ การทหาร และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ ซึ่งข้อมูลทางการค้าบ่งชี้ให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนเส้นทางขนส่งสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ผ่านประเทศที่สามอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ของจีนเองก็ยอมรับว่ามีปัญหาเช่นนี้ และยังมีผู้เชี่ยวชาญในวงการอีก 3 รายที่ออกมายืนยันข้อมูลดังกล่าว รวมถึง 2 ผู้บริหารจาก 2 บริษัทในสหรัฐฯ เปิดเผยว่า พวกเขายังสามารถจัดหาแร่ธาตุที่ถูกห้ามส่งออกจากจีนได้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

image.png
กราฟแสดงปริมาณการนำเข้าสารออกไซด์ของแร่พลวงของสหรัฐฯ จากแหล่งในประเทศไทยและเม็กซิโก ช่วงเดือนมกราคา 2567 และ เมษายน 2568

สหรัฐฯ นำเข้าแร่พลวงออกไซด์จากไทยและเม็กซิโกจำนวน 3,834 เมตริกตัน ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายน มากกว่าปริมาณที่นำเข้ารวมเกือบสามปีก่อนหน้านี้ ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยและเม็กซิโกกลายเป็นหนึ่งในสามตลาดส่งออกแร่พลวงสูงที่สุดของจีนในปีนี้ ตามข้อมูลศุลกากรจีนจนถึงเดือนพฤษภาคม โดยทั้งสองประเทศไม่ได้อยู่ใน 10 อันดับแรกในปี 2566 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่ปักกิ่งจะจำกัดการส่งออก ประเทศไทยและเม็กซิโกมีโรงถลุงแร่พลวงประเทศละแห่งเดียว ตามที่ RFC Ambrian รายงานและโรงถลุงแร่ของเม็กซิโกก็เพิ่งเปิดดำเนินการในเดือนเมษายน ทั้งสองประเทศก็ไม่เคยทำเหมืองแร่ชนิดนี้ในปริมาณที่มีนัยสำคัญมาก่อนเลย และการนำเข้าแร่พลวง แกลเลียม และเจอร์เมเนียมของสหรัฐฯ ในปีนี้มีแนวโน้มเท่าเดิมหรือเกินกว่าระดับก่อนมาตรการห้ามส่งออกบังคับใช้ แม้ว่าจะมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิม

image.png
กราฟแสดงปริมาณการส่งออกสารออกไซด์ของแร่พลวงของจีนไปยังไทยและเม็กซิโก ช่วงเดือนมกราคม 2567 และ พฤษภาคม 2568

นาย Ram Ben Tzion ซีอีโอของแพลตฟอร์มชื่อ Publican ซึ่งใช้ตรวจสอบการขนส่งด้วยระบบดิจิตอล กล่าวว่า แม้จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีการโดนถ่ายสินค้าผ่านประเทศที่สาม แต่ข้อมูลที่มีไม่สามารถระบุบริษัทที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน พร้อมระบุว่าบริษัทจีนมีวิธีการหลีกเลี่ยงกฎระเบียบที่ซับซ้อน

กระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวในเดือนพฤษภาคมว่า มีหน่วยงานต่างชาติที่ร่วมมือกับผู้กระทำผิดในประเทศจีนในการหลีกเลี่ยงมาตรการห้ามส่งออก ซึ่งถือเป็นภัยต่อความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามหลายๆ ข้อของ Reuters เรื่องเส้นทางการค้าที่เปลี่ยนไปตั้งแต่เดือนธันวาคม ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ไทย และเม็กซิโก ไม่ตอบคำถามเหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งกฎหมายของสหรัฐฯ นั้นไม่ได้ห้ามการจัดซื้อแร่แร่พลวง แกลเลียม หรือเจอร์เมเนียมที่มาจากจีน โดยบริษัทจีนยังสามารถส่งออกไปยังประเทศอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯ ได้ หากมีใบอนุญาต

นาย Levi Parker ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท Gallant Metals ในสหรัฐอเมริกา กล่าวกับ Reuters ถึงวิธีที่เขาได้รับแกลเลียมประมาณ 200 กิโลกรัมต่อเดือนจากจีน โดยไม่ได้ระบุตัวตนของคู่ค้าเนื่องจากอาจมีผลกระทบตามมา โดยในขั้นตอนแรก ตัวแทนจัดซื้อในจีนจะจัดหาวัตถุดิบจากผู้ผลิต จากนั้น บริษัทขนส่งจะเปลี่ยนฉลากสินค้าเป็นเหล็ก สังกะสี หรือวัสดุใช้สอยสำหรับงานศิลปะ แล้วส่งผ่านประเทศที่สามในเอเชีย พาร์กเกอร์กล่าว วิธีการหลีกเลี่ยงเช่นนี้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบนักและยังมีค่าใช้จ่ายสูงด้วย เขาระบุว่า เขาต้องการนำเข้า 500 กิโลกรัมเป็นประจำ แต่การส่งสินค้าปริมาณมากมีความเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ และบริษัทโลจิสติกส์ของจีน “ระมัดระวังอย่างมาก” เนื่องจากความเสี่ยงที่ร้ายแรง

ทำการค้ากันได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

บริษัท Thai Unipet Industries เป็นบริษัทลูกของบริษัท Youngsun Chemicals ผู้ผลิตพลวงรายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย มีการค้ากับสหรัฐอเมริกาอย่างคึกคักในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จากข้อมูลบันทึกการขนส่งสินค้าที่ยังไม่เคยเปิดเผยมาก่อนและอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยสำนักข่าว Reuters  ทั้งนี้ Thai Unipet ได้ส่งออกแร่พลวงจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยกว่า 3,366 ตัน ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม ตามเอกสารใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading) จำนวน 36 ฉบับ ซึ่งบันทึกโดยแพลตฟอร์มการค้าระหว่างประเทศ ImportYeti และ Export Genius โดยตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึงประมาณ 27 เท่า เอกสารเหล่านี้ยังได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับประเภทสินค้า คู่สัญญา และท่าเรือต้นทางและปลายทาง แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบโดยตรง อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานที่ชี้ชัดว่าเป็นการถ่ายโอนสินค้าผ่านประเทศที่สาม (Transshipment)

สำนักข่าว Reuters พยายามติดต่อกับบริษัท Thai Unipet เพื่อขอความคิดเห็น แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เมื่อ Reuters โทรศัพท์ไปยังหมายเลขที่ระบุในเอกสารขนส่ง มีผู้รับสายแจ้งว่าไม่ใช่หมายเลขของ Thai Unipet และเมื่อ Reuters ส่งจดหมายสอบถามไปยังที่อยู่ตามทะเบียนบริษัท ก็ไม่ได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด เช่นเดียวกับบริษัทแม่ Youngsun Chemicals ซึ่งก็ไม่ได้ตอบคำถามของ Reuters เกี่ยวกับสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ผู้ซื้อสินค้าดังกล่าวในสหรัฐฯ คือบริษัท Youngsun & Essen ซึ่งมีสำนักงานในรัฐเท็กซัส ซึ่งเดิมเคยนำเข้าพลวงไตรออกไซด์เกือบทั้งหมดจาก Youngsun Chemicals ก่อนที่ทางการจีนจะออกมาตรการห้ามส่งออกแร่พลวง โดยทั้งบริษัท Youngsun & Essen และประธานบริษัท นายจิมมี่ ซงก็ไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าดังกล่าว

รัฐบาลจีนได้เริ่มการรณรงค์ต่อต้านการถ่ายโอนสินค้าผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) และการลักลอบนำเข้า-ส่งออกแร่ธาตุสำคัญตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยผู้กระทำผิดอาจถูกปรับและสั่งห้ามการส่งออกในอนาคต กรณีร้ายแรงอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานลักลอบนำเข้า-ส่งออก ซึ่งมีโทษจำคุกเกินห้าปี ตามที่นายเจมส์ เซียว หุ้นส่วนบริษัทกฎหมาย White & Case ในฮ่องกง ให้ข้อมูลกับ Reuters 

นายเซียวระบุเพิ่มเติมว่า กฎหมายของจีนนี้ยังมีผลบังคับใช้กับบริษัทจีน แม้ธุรกรรมจะเกิดขึ้นในต่างประเทศ และในกรณีการถ่ายโอนสินค้าผ่านประเทศที่สาม หากผู้ขายไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบคู่ค้าปลายทางอย่างเพียงพอ ก็อาจถูกทางการจีนดำเนินคดีตามกฎหมายได้ด้วยเช่นกัน

image.png
มาตรการควบคุมการส่งออกของจีนกระตุ้นให้ราคาแร่ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ราคาพุ่งสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่กล้าเสี่ยง โอกาสสร้างผลกำไรมหาศาลยังคงมีอยู่ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้กำลังประสบภาวะขาดแคลนจนทำให้ราคาของแกลเลียม, เจอร์เมเนียม และพลวง พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแร่ทั้งสามชนิดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมการออกใบอนุญาตส่งออกอยู่แล้ว เมื่อรัฐบาลจีนประกาศห้ามส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ จากข้อมูลศุลกากรของจีน พบว่า การส่งออกพลวงและเจอร์เมเนียมของจีนยังคงต่ำกว่าระดับก่อนมีการออกข้อจำกัดดังกล่าว สุดท้าย Ben Tzion ชี้แจงว่า ขณะนี้รัฐบาลปักกิ่งต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างหลักประกันว่าระบบการควบคุมการส่งออกของตนจะมีประสิทธิผลอย่างแท้จริงหรือไม่ โดยเขากล่าวว่า "แม้จะมีนโยบายต่าง ๆ ที่ชัดเจนแล้วก็ตาม แต่การบังคับใช้ข้อห้ามต่างๆ นั้นเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง"

บทวิเคราะห์: บทความนี้มาจากข่าวของ Reuters ซึ่งมีการระบุชื่อบริษัทผู้ต้องสงสัยพร้อมหลักฐานเชิงวิเคราะห์จากสถิติซึ่งชี้ให้เห็นว่าน่าสงสัยเพราะเหตุไร ซึ่งหากยังไม่มีการตรวจสอบและพิสูจน์ที่ชัดเจน และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ หรืออาจถึงขั้นมีการพิจารณาเป็นคดีความจนถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะปักใจเชื่อไปตามเนื้อความในข่าว แม้แหล่งข่าวอย่าง Reuters จะมีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด ตามหลักการที่ว่า ทุกท่านล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะได้รับการพิสูจน์จนถึงที่สุดแล้วว่ากระทำความผิดจริง 

จากหลักฐานที่นำมาแสดงในข่าวนี้ เพื่อความแน่ใจจึงได้ตรวจสอบซ้ำกับสถิติที่ Global Trade Atlas บันทึกไว้ ก็พบว่าแนวโน้มข้อมูลก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะเห็นได้ว่ามูลค่าการนำเข้าแร่พลวงของสหรัฐฯ จากประเทศไทยในแต่ละเดือนนั้นทะยานขึ้นเป็นลำดับแรก อินเดียเป็นลำดับรองจากไทยแต่ก็ขยายตัวสูงแทบไม่แตกต่างกัน แต่น่าสังเกตว่าอินเดียมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯมาตลอดทุกเดือน ส่วนสถิติการส่งออกจากไทยนั้นแทบจะไม่มีมาก่อนเลย แล้วกลับเริ่มมียอดการส่งออกต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2565 ถึง 2.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าแร่พลวงจากจีนพุ่งถึงจุดสูงสุดด้วยมูลค่ากว่า 5.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ครั้งสุดท้ายในเดือนมิถุนายน 2565 หลังจากนั้นก็มีแนวโน้มต่ำลง ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าจากไทยพุ่งขึ้นสูงที่สุดถึง 10.7 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมีนาคมปีนี้ และยังครองลำดับที่ 1 อยู่จนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ที่มูลค่าเกือบ 9 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือนล่าสุดนี้เอง อาจสังเกตได้ว่าอินเดียซึ่งอยู่ในลำดับที่ 2 มีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นถึงเกือบแปดล้านเหรียญสหรัฐแบบผิดรูปแบบที่เคยเป็นมาด้วย

image.png

 เมื่อพิจารณาปริมาณการนำเข้าบ้าง จะสังเกตเห็นได้ว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นปริมาณการนำเข้าในแต่ละเดือนเริ่มเฉลี่ยๆ กันไป (เส้นสีแดงและสีน้ำเงินแทบจะซ้อนกัน) และเมื่อปริมาณการนำเข้าจากจีนเริ่มลดลง (เส้นสีแดงลดระดับต่ำลง) ปริมาณการนำเข้าจากประเทศไทยก็เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดแทน (เส้นสีน้ำเงินอยู่บนสุดในช่วงปลาย) ทั้งที่ไทยไม่เคยเป็นแหล่งผลิตแร่พลวงมาก่อนหน้านี้เลย เมื่อจีนควบคุมการส่งออกแร่ดังกล่าว แหล่งผลิตจีนลดบทบาทลงแต่ไทยกลับมีบทบาทเพิ่มขึ้น

image.png

เมื่อพิจารณาภาพรวมรายปี ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าความเคลื่อนไหวของการนำเข้าแร่พลวงของสหรัฐฯ เปลี่ยนไปตามที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้จริง ในเมื่อประเทศไทยไม่ใช่แหล่งผลิตแร่พลวงมาก่อนแล้วผู้ส่งออกของไทยไปนำแร่พลวงเข้ามาจากไหนกัน

G3_QntyYear.png

เมื่อตรวจสอบการนำเข้าแร่พลวงของไทยก็พบว่ามีมูลค่าการนำเข้าแร่ดังกล่าวเพิ่มขึ้นจริง ซึ่งโดยปกติ ไทยจะนำเข้าแร่ชนิดนี้ประมาณปีละ 1-2 พันตัน โดยบางปีเช่นปีที่มีโรคระบาดก็ลดลงมาต่ำกว่าหลักพันตันบ้าง แล้วในปี 2567 ปริมาณการนำเข้าก็ขยายตัวขึ้นมาสูงถึง 5.4 พันตัน และในปีนี้เอง สถิติที่เก็บรวบรวมถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า มีปริมาณการนำเข้าแร่พลวงทะลุยอดการนำเข้าทั้งปีที่แล้วไปแล้ว โดยปริมาณที่นำเข้าสูงถึงเกือบ 6 พันตัน  และในแง่มูลค่าก็เช่นกัน โดยในปี 2567 มูลค่าการนำเข้าก็ขยายตัวขึ้นมาสูงถึง 117 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าแร่พลวงของไทยในปีนี้ จากสถิติถึงแค่เดือนพฤษภาคมมีมูลค่าสูงถึง 218 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหากเทียบกับสถิติในช่วงเดียวกันของปีก่อน ก็พบว่าขยายตัวถึงเกือบ 7 เท่าตัว แหล่งสินค้าส่วนใหญ่มาจากเมียนมาร์ รองลงมาคือเวียดนาม จีนและเริ่มมีมาจากกัมพูชาในปีนี้เป็นปีแรก

G5_ThImpQnty.png
G6_ThImpValue.png

จากสถิติดังกล่าว น่าแปลกใจที่แร่พลวงถูกนำเข้ามาจากจีนเพียงน้อยนิดเท่านั้น จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ไทยเองก็ได้รับสินค้า Transshipment มาด้วยเช่นกันหรือไม่

ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: การที่หยิบบทความนี้ขึ้นมา เหตุผลหลักคือการที่มีข่าวว่า เวียดนามได้เจรจากับสหรัฐฯ จนเสร็จสิ้นแล้ว และอัตราภาษีอากรขาเข้าสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 20 โดยจะเรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกมาจากเวียดนามเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ แล้วมีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมขึ้นมาอีกว่า หากเป็นสินค้าที่ถูกถ่ายโอนผ่านประเทศที่สาม (Transshipment) จะปรับอัตราภาษีอากรเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40 โดยคำว่า Transshipment ดังกล่าวนี้ ไม่ได้มีคำจำกัดความเฉพาะเจาะจงหรือรายละเอียดที่ชัดเจน โดยนักวิชาการส่วนใหญ่จะสันนิษฐานว่าคงหมายถึงสินค้าที่ใช้กระบวนการ Origin Washing หรือปรับแปลงแหล่งที่มาสินค้า การใช้คำๆ นี้แบบไม่มีรายละเอียดนี้ จึงเป็นการยากที่ผู้ที่ปฏิบัติการจริงทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐจะดำเนินการต่างๆ ตามขั้นตอนได้อย่างมั่นใจ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเพิ่มรายละเอียดอันอาจเป็นเงื่อนไขสำคัญในภายภาคหน้าก็เป็นไปได้ ซึ่งก็มีนักวิชาการหลายสำนัก ต่างมองตรงกันว่า กรณีนี้เป็นการเล็งเป้าหมายไปยังแหล่งผลิตสินค้าของจีน แต่การเลือกใช้คำว่า Transshipment เฉยๆ นั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะจากแหล่งผลิตของจีนเท่านั้น โดยในกรณีที่มองว่าเป็นการปรับแปลงแหล่งที่มาสินค้านั้น โดยทั่วไปก็มักจะมีกระบวนการแปรรูปบางอย่าง ตั้งแต่น้อยๆ อาทิ การแปะสลาก ไปถึงมาก จนถึงขั้นแปรสภาพให้กลายเป็นสินค้าชนิดอื่นไปเลย อาทิ จากยางดิบ กลายเป็นยางเรเดียล หรือแร่พลวง กลายเป็นสารออกไซด์ของแร่พลวง อาทิ Antimony Trioxide เป็นต้น ขณะที่ยังไม่มีการระบุให้ชัดเจนว่าใช้เกณฑ์อะไรในการชี้ชัด ซึ่งหนึ่งในผลพวงที่ได้มาจากการที่โลกได้เคยเป็นโลกาภิวัตน์นั้นก็คือ กระบวนการผลิตที่ถูกแตกออกเป็นส่วนๆ แล้วกระจายออกไปดำเนินการในแต่ละแหล่งในหลากหลายภูมิภาคของโลกที่มีความชำนาญเฉพาะด้านแตกต่างกันไป สินค้าบางรายการอาจต้องไปผ่านกระบวนการจากหลากหลายแหล่งผลิตในหลายๆ ประเทศ แล้วมาประกอบกันขึ้นเป็นสินค้าสำเร็จ ก็เป็นไปได้ และอย่างน้อยต้องมีสัดส่วนขององค์ประกอบของสินค้าที่มาจากประเทศนั้นๆ เองสักเท่าไร จึงจะพ้นข้อกล่าวหาว่าเป็นสินค้า Transshipment ได้ ก็หวังว่าจะมีรายละเอียดก่อนวันที่อัตราภาษีอากรใหม่จะเริ่มบังคับใช้ ซึ่งก็คงจะไม่มีใครกล้ายืนยันว่า จะไม่มีเงื่อนไขใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาอีกภายหลัง และจากความชัดเจนเท่าที่มี บวกกับความเข้าใจว่าสหรัฐฯ กับจีนนั้นยังเผชิญหน้ากันอยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการที่ต้องการขายสินค้าในตลาดสหรัฐฯ ก็จำเป็นที่จะต้องพยายามให้มีองค์ประกอบของสินค้าที่มาจากจีนน้อยที่สุดไว้ก่อน หรือถ้าไม่มีเลยก็น่าจะยิ่งวางใจได้มากยิ่งขึ้นไปโดยปริยาย

ขณะนี้ผู้ประกอบการไทยที่มีตลาดหลักอยู่ในสหรัฐฯ ต่างก็น่าจะต้องกังวลใจไปกับคำประกาศล่าสุดของท่านประธานาธิบดีทรัมป์ว่าสินค้าไทยที่นำเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ จะต้องถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึงร้อยละ 36 ในขณะที่นึกสงสัยว่าทำไมเวียดนามถึงได้รับอัตราภาษีอากรที่ต่ำกว่าเรา ซึ่งอันที่จริงรัฐบาลก็กำลังใช้ความพยายามเต็มที่เพื่อเปลี่ยนตัวเลข 36 ให้ลดลงมาต่ำที่สุดให้จงได้ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งท่านประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันผ่านสื่อสังคมออนไลน์มาแล้วว่าจะยืนหยัดยืนยันอัตราที่ประกาศไปไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากไม่มีการตกลงกันถึงที่สุดก่อนเส้นตายจะมาถึง 

ประเด็นหนึ่งที่น่าสังเกตในเรื่องการกำหนดอัตราภาษีอากรสำหรับสินค้าจากเวียดนาม ที่มีการกำหนดแยกเป็น 2 อัตรา ได้แก่ร้อยละ 20 สำรับสินค้าของเวียดนามและร้อยละ 40 สำหรับสินค้าที่ถูกถ่ายโอนผ่านเวียดนามมาเพื่อส่งเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ กรณีนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าเวียดนามนั้นสามารถแยกแยะสินค้าของเวียดนามออกจากสินค้าที่ถูก Transship มาผ่านเวียดนามได้อย่างชัดเจน ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีการกำหนดไว้อัตราเดียว ก็อาจเป็นการตั้งอัตราเหมารวมสำหรับสินค้าจากแหล่งที่ไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจน อาจเป็นได้ว่าอัตราร้อยละ 36 ของไทยนั้น เหมารวมสินค้า Transship มาจากที่อื่นไว้ด้วย เป็นค่าเฉลี่ยไปเสียเลย และหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความได้ว่า สินค้าจากประเทศไทยแท้ๆ จะต้องแบกส่วนเฉลี่ยจากอัตราของสินค้าที่ถ่ายโอนผ่านประเทศไทยเพื่อส่งเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ในขณะที่สินค้าเหล่านั้นได้รับการลดหย่อนส่วนของค่าเฉลี่ยที่ถูกผลักมาไว้ให้กับสินค้าไทยแท้ๆ ด้วย ดังนั้นอาจจำเป็นที่ภาครัฐของไทยจะต้องมีกระบวนการที่จะสามารถแบ่งแยกสินค้า Transship ออกจากสินค้าไทยให้ได้อย่างชัดเจนด้วย ซึ่งก็บอกได้ยากว่ามาตรการดังกล่าวหากนำมาใช้จริง จะส่งผลกระทบต่อคู่ค้าอื่นๆ ที่มีไมตรีกับประเทศไทยอยู่ดีๆ อยู่แล้วให้ต้องบาดหมางกันหรือไม่ และหากไปไกลกว่านั้นแล้ว ต่อไปจากนั้น หากมีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น มีการกำหนดว่าการมีสัดส่วนขององค์ประกอบของสินค้าจากประเทศอื่นเกินกว่าร้อยละเท่าไร ขององค์ประกอบของสินค้าทั้งหมด หรือถึงขั้นขยับเพิ่มเงื่อนไขสูงขึ้นเรื่อยๆ เราควรจะต้องรับมืออย่างไร

ในท้ายที่สุดอยากขอสรุปอย่างกระชับๆ เพียงว่า ช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการไทยจะต้องมีสติกว่าที่เคย ตลาดสหรัฐฯ แม้จะมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากเพียงใด ก็พึงจะต้องระลึกไว้เสมอว่า ตลาดนี้มีความไม่แน่นอนสูงมากในระยะนี้ ผู้ประกอบการที่ต้องพึ่งพาตลาดนี้มากๆ ควรที่จะเร่งหาช่องทางในตลาดอื่นๆ ไว้รองรับด้วย สินค้าที่สหรัฐฯ ยังคงต้องการและยังผลิตเองในระดับราคาที่ประชาชนรับไหวอย่างเช่นสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ยังจะเกิดขึ้นจริงได้ยาก แล้วก็จะยังคงต้องนำเข้าอยู่ และผู้ที่จะต้องแบกรับภาษีนั่นก็คือประชาชนและผู้ที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ เองทั้งสิ้นไม่มีทางอื่น ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ย่อมจะต้องเพิ่มแรงกดดันในการเจรจาตกลงราคาสินค้าเพื่อให้ได้ราคาที่ดียิ่งขึ้น และเมื่อบรรดาผู้ซื้อจับทิศทางของแนวนโยบายของรัฐบาลไม่ทัน ก็มักจะต้องชะลอการตัดสินใจ อีกปัจจัยเสี่ยงก็คือความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ หากประชาคมโลกร่วมแรงร่วมใจกันตอบโต้กลับรุนแรงขึ้น ผู้ประกอบการพึงจะต้องมีความระมัดระวังรอบคอบยิ่งขึ้นในการเสนอราคาแก่ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ก่อนเสนอราคาต้องมั่นใจจริงๆ ว่าได้คิดคำนวณอย่างรอบคอบแล้วกว่าที่เคยทำกันมา และอย่าเพิ่งรู้สึกสิ้นหวัง ก่อนวันที่ 1 สิงหาคมจะมาถึง

********************************************************

ที่มา: Reuters
เรื่อง: “How US buyers of critical minerals bypass China's export ban”
โดย: Alessandro Parodi, Lewis Jackson, Ashitha Shivaprasad และ Sherin Elizabeth Varghese
สคต. ไมอามี /วันที่ 9 กรกฎาคม 2568

Share :
Instagram