ในช่วงวันที่ 9-11 กรกฎาคม 2568 การเจรจาความตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างบังกลาเทศและสหรัฐอเมริกาในรอบที่สองได้ดำเนินไปอย่างเข้มข้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การเจรจาครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาการเก็บภาษีศุลกากร 35% ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับสินค้าจากบังกลาเทศ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 การเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของอุตสาหกรรมส่งออกของบังกลาเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจของประเทศ
การเจรจาความตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างบังกลาเทศและสหรัฐฯ เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ว่าจะกำหนดอัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (reciprocal tariff) ในอัตรา 35-40% สำหรับสินค้านำเข้าจาก 14 ประเทศ รวมถึงบังกลาเทศ โดยบังกลาเทศถูกกำหนดอัตราภาษีที่ 35% ซึ่งลดลงจากอัตราเริ่มต้น 37% หลังจากการเจรจาครั้งแรก การเจรจารอบที่สองนี้มีเป้าหมายเพื่อหาข้อตกลงที่สามารถยกเว้นหรือลดอัตราภาษีดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อมูลค่าการส่งออกของบังกลาเทศไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม
การเจรจานำโดยที่ปรึกษาการค้าของบังกลาเทศ นายชีค บาชิร อุดดิน ร่วมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงพาณิชย์ และมีการประสานงานโดยสถานทูตบังกลาเทศในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ในขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ นำโดยเอกอัครราชทูตด้านการค้า เจมส์สัน เกรียร์ ซึ่งมีสถานะเทียบเท่ารัฐมนตรีในรัฐบาลทรัมป์ การเจรจาครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นที่กว้างกว่าภาษีศุลกากร โดยรวมถึงความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
ในการเจรจาในวันที่สองของการเจรจา (10 กรกฎาคม 2568) ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุฉันทามติในหลายประเด็น โดยมีการประชุมส่วนตัวระหว่างนายชีค บาชิร อุดดิน และเอกอัครราชทูตเจมส์สัน เกรียร์ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและส่งเสริมการหารือในประเด็นที่ซับซ้อน นายบาชิร อุดดิน ได้เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของบังกลาเทศในการเพิ่มทั้งการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น เครื่องบินโบอิ้ง ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ข้าวสาลี และฝ้าย การเจรจาครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงความเป็นไปได้ในการให้สัมปทานด้านภาษีสำหรับสินค้าสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการยกเว้นหรือลดภาษีสำหรับสินค้าบังกลาเทศ
ในวันสุดท้ายของการเจรจา (11 กรกฎาคม 2568) ทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ในประเด็นเพิ่มเติม แต่ยังคงมีประเด็นสำคัญบางประการที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกำหนดของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้สินค้า "Made in Bangladesh" มีมูลค่าเพิ่มในท้องถิ่น (local value addition) ถึง 40% ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของบังกลาเทศ นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีข้อเสนอที่อาจขัดต่อหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) เช่น การห้ามบังกลาเทศให้อัตราภาษีที่ต่ำกว่าสำหรับสินค้าจากประเทศอื่นสำหรับผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ
ประเด็นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขหนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดคือข้อกำหนดของสหรัฐฯ ที่ให้บังกลาเทศปฏิบัติตามการคว่ำบาตรและการปรับขึ้นภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดต่อประเทศที่สาม ซึ่งบังกลาเทศมองว่าขัดต่อกฎการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ข้อเรียกร้องเรื่องมูลค่าเพิ่ม 40% ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มของบังกลาเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ เช่น ผ้าสังเคราะห์จากจีน ซึ่งทำให้ยากต่อการปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้ สมาคมผู้ผลิตและส่งออกเครื่องนุ่งห่มแห่งบังกลาเทศ (BGMEA) ระบุว่าพวกเขายินดีรับข้อกำหนดนี้หากสหรัฐฯ ยอมลดอัตราภาษีจาก 35% เหลือ 15%
อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจบังกลาเทศ โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของรายได้จากการส่งออกของประเทศ และสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าเหล่านี้ การกำหนดอัตราภาษี 35% จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถในการแข่งขันของบังกลาเทศ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนาม ซึ่งได้รับการลดหย่อนภาษีเหลือ 20% ผู้ซื้อในสหรัฐฯ บางราย เช่น วอลมาร์ท ได้เริ่มระงับคำสั่งซื้อจากบังกลาเทศ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากร
ความท้าทายของข้อกำหนดมูลค่าเพิ่มข้อกำหนดมูลค่าเพิ่ม 40% เป็นความท้าทายที่สำคัญ เนื่องจากบังกลาเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนและประเทศอื่นๆ อดีตประธานสมาคมโรงงานสิ่งทอแห่งบังกลาเทศ (BTMA) นายเอ. มาติน โชว์ดูรี ระบุว่าการเพิ่มมูลค่าผ่านการปรับปรุงคุณภาพ เช่น การซักและการบำบัดผ้าที่มีคุณภาพสูง อาจช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้ แต่ต้องใช้การลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีและกระบวนการผลิต
ผลกระทบต่อนักลงทุนและนักธุรกิจสำหรับนักลงทุนและนักธุรกิจในบังกลาเทศ การเก็บภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นอาจนำไปสู่การสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดในสหรัฐฯ และอาจบังคับให้บริษัทต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีข้อตกลงทางการค้าที่ดีกว่ากับสหรัฐฯ เช่น เวียดนาม นอกจากนี้ ความกังวลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการลงทุนของจีนในบังกลาเทศอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในระยะยาว
จุดยืนของบังกลาเทศกลยุทธ์การเจรจา บังกลาเทศใช้กลยุทธ์ที่เน้นการรักษาความสมดุลระหว่างการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและการรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ นายชีค บาชิร อุดดิน เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของบังกลาเทศในการเพิ่มการค้ากับสหรัฐฯ และแสดงความพร้อมที่จะให้ปรับปรุงภาษีสำหรับสินค้าสหรัฐฯ หากได้รับการยกเว้นภาษีในทางกลับกัน นอกจากนี้ บังกลาเทศยังยื่นข้อเสนอเพื่อขอรายการกำหนดอัตราภาษี (tariff schedule) จากสหรัฐฯ เพื่อให้สามารถเจรจาได้อย่างโปร่งใสมากขึ้น
การปฏิเสธข้อเสนอที่ขัดต่อหลักการ WTO บังกลาเทศแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ ที่ขัดต่อหลักการขององค์การการค้าโลก โดยเฉพาะข้อกำหนดที่ห้ามบังกลาเทศให้อัตราภาษีที่ต่ำกว่าสำหรับสินค้าจากประเทศอื่น ซึ่งขัดต่อหลักการ Most-Favoured Nation (MFN) นอกจากนี้ บังกลาเทศยังคัดค้านข้อเสนอที่ให้ยอมรับการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อประเทศที่สาม โดยระบุว่าไม่สามารถยอมรับกฎหมายภายในของสหรัฐฯ เป็นข้อผูกมัดในการค้าระหว่างประเทศได้
การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง บังกลาเทศให้ความสำคัญกับการรักษาความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น เวียดนามและอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวียดนามสามารถเจรจาลดอัตราภาษีลงเหลือ 20% ได้สำเร็จ บังกลาเทศมองว่าการที่สหรัฐฯ ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับคู่แข่งอื่นๆ เช่น จีน หรือเวียดนามในประเด็นที่คล้ายกัน ทำให้บังกลาเทศยังคงมีโอกาสในการเจรจาต่อรอง
การเจรจาต่อเนื่องทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินการเจรจาต่อผ่านการหารือระหว่างกระทรวง ซึ่งอาจจัดขึ้นทั้งในรูปแบบเสมือนจริงและการประชุมแบบตัวต่อตัวในอนาคต การเจรจาครั้งต่อไปคาดว่าจะมีการกำหนดวันเวลาที่ชัดเจนในเร็วๆ นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายในการหาทางออกที่ยอมรับได้ร่วมกัน
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างบังกลาเทศและสหรัฐฯ มีความสำคัญต่อทั้งสองฝ่าย โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักของบังกลาเทศ และบังกลาเทศเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าสำคัญ เช่น เครื่องบินและก๊าซธรรมชาติเหลวสำหรับสหรัฐฯ การเจรจาครั้งนี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับภาษีศุลกากร แต่ยังครอบคลุมถึงความร่วมมือในด้านการลงทุนและความมั่นคง ซึ่งอาจช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในระยะยาว
ความท้าทายในอนาคตความท้าทายที่สำคัญในอนาคต คือ การที่บังกลาเทศต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของสหรัฐฯ โดยไม่สูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งอื่นๆ นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่าในท้องถิ่นจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตอบสนองต่อข้อกำหนดของสหรัฐฯ การที่สหรัฐฯ อาจมีข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เช่น การลดการพึ่งพาการลงทุนจากจีน อาจเพิ่มความซับซ้อนให้กับการเจรจาในอนาคต
บทสรุปการเจรจาความตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างบังกลาเทศและสหรัฐฯ ในรอบที่สองที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระหว่างวันที่ 9-11 กรกฎาคม 2568 เป็นก้าวสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของบังกลาเทศในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ แม้ว่าจะมีความคืบหน้าในหลายประเด็น แต่ข้อกำหนดที่เข้มงวดของสหรัฐฯ ยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจบังกลาเทศ เผชิญกับความเสี่ยงจากการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่เหมาะสมได้ สำหรับนักธุรกิจและนักลงทุน การเจรจานี้เป็นสัญญาณของความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการตัดสินใจลงทุนในบังกลาเทศ นักการทูตและนักวิเคราะห์เศรษฐกิจควรจับตาดูการเจรจาครั้งต่อไปอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผลลัพธ์จะกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างบังกลาเทศและสหรัฐฯ รวมถึงตำแหน่งของบังกลาเทศในตลาดโลก การที่ทั้งสองฝ่ายตกลงจะดำเนินการเจรจาต่อแสดงถึงความหวังในการหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน แต่บังกลาเทศจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ที่มาข่าว/ภาพ สื่อออนไลน์ The Business Standard https://www.tbsnews.net/ และแหล่งข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง