fb
ภาษีสหรัฐฯ กดดันส่งออกเวียดนาม อุตสาหกรรมหลักเร่งปรับตัว
โดย
Trann@ditp.go.th
ลงเมื่อ 15 สิงหาคม 2568 15:35
26

เนื้อข่าว 

สหรัฐอเมริกาได้บังคับใช้มาตรการจัดเก็บภาษีตอบโต้การนำเข้าจากเวียดนามในอัตราร้อยละ 20 ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรมสำคัญ อาทิ ไม้และสิ่งทอ ให้ชะลอตัวลง นาย Vu Ba Phu อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม ระบุว่า แม้อัตราภาษีจะสูงถึงร้อยละ 20 หรือมากกว่า เวียดนามยังคงจำเป็นต้องส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ โดยต้องดำเนินการอย่างยั่งยืนและให้เกิดผลกำไรมากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเร่งทบทวนเอกสารการส่งออกและถิ่นกำเนิดสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการแปรรูปเชิงลึกและการเพิ่มมูลค่า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร

image.png

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 28 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี แนวโน้มการเติบโตดังกล่าวอาจชะลอตัวในครึ่งหลังของปีนี้และครึ่งแรกของปี 2569 เนื่องจากตลาดกำลังเข้าสู่ช่วงปรับสมดุลสินค้าคงคลัง คล้ายกับสถานการณ์หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ การเปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ VietnamUSA.Arobid.com จึงถือเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเวียดนามสามารถเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ได้โดยตรง เชื่อมโยงกับคู่ค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ผ่านคนกลาง อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการขยายตลาด ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน มาตรฐานการผลิต และการเข้าถึงแหล่งทุนสากล

สำหรับการปรับตัวในระยะยาว จำเป็นต้องดำเนินมาตรการเชิงกลยุทธ์ อาทิ การเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และการจัดตั้งศูนย์แปรรูปและกระจายสินค้าในตลาดสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องอาศัยการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาด และการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านถิ่นกำเนิดสินค้าและการตรวจสอบย้อนกลับ ทั้งนี้ ก่อนมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ ลูกค้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้เร่งสั่งซื้อสินค้า ส่งผลให้คำสั่งซื้อลดลงหลังเดือนกรกฎาคม 2568 ขณะเดียวกัน ข้อกำหนดด้านมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม (green standards) การตรวจสอบย้อนกลับอย่างโปร่งใส (transparent traceability) และการรับรองตามมาตรฐานสากล (international certifications) ที่เข้มงวดมากขึ้น ยังคงสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง

 (แหล่งที่มา https://thesaigontimes.vn/ ฉบับวันที่ 14 สิงหาคม 2568)

วิเคราะห์ผลกระทบ

การที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาบังคับใช้มาตรการจัดเก็บภาษีตอบโต้การนำเข้าจากเวียดนาม ในอัตราร้อยละ 20 ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ได้สร้างแรงกดดันอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคการส่งออกของเวียดนาม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไม้และสิ่งทอที่มีการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง ทั้งนี้ อุตสาหกรรมทั้งสองเป็นหนึ่งในกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเวียดนาม ควบคู่ไปกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ซึ่งเป็นแหล่งสำคัญในการสร้างรายได้และการจ้างงาน โดยสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดส่งออกที่มีมูลค่าสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 29.5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และรองเท้าหนัง

ในด้านผลกระทบ อุตสาหกรรมไม้ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน มีความอ่อนไหวต่อการแข่งขันด้านราคาสูง การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 20 ทำให้สินค้าของเวียดนามเสียเปรียบเชิงราคาเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่ยังคงได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี อาทิ บางประเทศในอาเซียนและอเมริกาใต้ ส่วนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แม้เวียดนามจะมีศักยภาพด้านคุณภาพการผลิตและความสามารถในการจัดส่ง แต่การปรับขึ้นราคาสินค้าอันเนื่องมาจากภาษีนำเข้า อาจทำให้ผู้ซื้อตลาดสหรัฐฯ หันไปพิจารณาซัพพลายเออร์จากประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า เช่น บังกลาเทศ อินเดีย หรือเม็กซิโก

อย่างไรก็ดี ในมิติของนโยบายการค้า อัตราภาษีร้อยละ 20 ดังกล่าวถือว่าผ่อนคลายลงจากข้อเสนอเดิมในเดือนเมษายน 2568 ที่มีการพิจารณาจัดเก็บสูงถึงร้อยละ 46 หลังจากการเจรจาในหลายรอบ ซึ่งเป็นพัฒนาการเชิงบวกต่อผู้ส่งออกเวียดนาม ถึงกระนั้น อัตราภาษีปัจจุบันยังคงสูงกว่าก่อนการปรับขึ้น และสูงกว่าบางประเทศสมาชิกอาเซียน เช่น ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ซึ่งได้รับอัตราร้อยละ 19 แม้ส่วนต่างเพียงร้อยละ 1 อาจดูเล็กน้อย แต่ก็สะท้อนถึงระดับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสหรัฐฯ

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในสินค้าส่งออกหลัก เช่น จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (ในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ไม้) หรือบังกลาเทศ อินเดีย และจีน (ในกลุ่มสิ่งทอ) จะพบว่าเวียดนามเผชิญอัตราภาษีในระดับใกล้เคียงกัน หรือบางกรณีต่ำกว่าเล็กน้อย ซึ่งหากเวียดนามสามารถใช้ประโยชน์จากศักยภาพในด้านคุณภาพการผลิต การพัฒนาการแปรรูปเชิงลึก และการยกระดับมาตรฐานการผลิตได้อย่างเต็มที่ ก็ยังมีโอกาสรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมสิ่งทอยังต้องเผชิญแรงกดดันจากข้อกำหนดด้านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม (Green Standards) และการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งบังคับให้ผู้ประกอบการต้องลงทุนเพิ่มเติมในเทคโนโลยีการผลิตและระบบบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การลงทุนดังกล่าวแม้จะส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว แต่ก็เพิ่มภาระต้นทุนและกระทบต่ออัตรากำไรในระยะสั้น หากสถานการณ์ดังกล่าวยืดเยื้อ ย่อมมีความเสี่ยงต่อการลดลงของคำสั่งซื้อและการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ในระยะกลางและระยะยาว

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมไม้และสิ่งทอจากเวียดนามของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นร้อยละ 20 ไม่เพียงสะท้อนถึงความท้าทายที่เวียดนามต้องเผชิญ แต่ยังบ่งชี้ถึงแนวโน้มการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีเป้าหมายกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาแหล่งนำเข้าประเทศเดียว สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดโอกาสทางการตลาดสำคัญแก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งจากข้อได้เปรียบด้านอัตราภาษีที่ต่ำกว่า และความสามารถในการนำเสนอสินค้าที่มีความแตกต่าง เช่น การออกแบบที่ตรงกับรสนิยมผู้บริโภค การผลิตที่สอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และการจัดส่งที่มีความยืดหยุ่น ปัจจัยเหล่านี้สามารถเสริมภาพลักษณ์ให้ไทยเป็นคู่ค้าทางเลือกที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้นำเข้าและผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ

นอกเหนือจากข้อได้เปรียบด้านภาษี การยกระดับมาตรฐานสินค้าเป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญ อาทิ การรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อม การใช้วัตถุดิบที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ และการพัฒนาการออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะกลุ่มของผู้บริโภคสหรัฐฯ การสร้างภาพลักษณ์สินค้าว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีคุณภาพในระดับสากล จะช่วยเพิ่มมูลค่า ลดการแข่งขันด้านราคาโดยตรงกับผู้ผลิตรายอื่น และขยายศักยภาพในการเข้าถึงตลาดระดับพรีเมียม

                    ในด้านการดำเนินงาน ผู้ประกอบการไทยควรเร่งพัฒนาขีดความสามารถการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน การจัดตั้งคลังสินค้าหรือศูนย์กระจายสินค้าย่อยในสหรัฐฯ จะช่วยลดระยะเวลาขนส่งและตอบสนองคำสั่งซื้อได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกัน การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับผู้ค้าปลีกหรือแบรนด์ท้องถิ่นในสหรัฐฯ จะช่วยสร้างความมั่นคงของคำสั่งซื้อ และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดในระยะยาว

News 11 - 15 August - Vietnam's timber and textile industries-Edit.pdf
Share :
Instagram