ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. ได้มีคำสั่งให้ระงับการนำเข้าข้าวเป็นระยะเวลา 60 วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เพื่อปกป้องเกษตรกรภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากราคาข้าวเปลือกตกต่ำที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร (นาย Francisco Tiu Laurel Jr.) อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ชี้แจงว่า ข้าวบาสมาติและข้าวชนิดพิเศษอื่น ๆ จะไม่อยู่ภายใต้คำสั่งระงับการนำเข้าครั้งนี้ โดยการห้ามนำเข้าชั่วคราวนี้จะครอบคลุมเฉพาะข้าวทั่วไป (regular milled rice) และข้าวขัดสีคุณภาพดี (well-milled rice)
กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (DA) รายงานว่า ขณะนี้ตลาดข้าวในประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันจากข้าวนำเข้าราคาถูกส่งผลให้ผู้ค้าข้าวบางรายรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรในราคาต่ำสุดเพียง 8 – 10 เปโซต่อกิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่อยู่ระหว่าง 12 – 14 เปโซต่อกิโลกรัม โดยเกษตรกรระบุว่า สาเหตุหลักมาจากการทะลักเข้ามาของข้าวนำเข้าราคาถูก อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อเสนอให้พิจารณาเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าข้าว แต่นาย Dave Gomez เลขาธิการฝ่ายสื่อสารประจำประธานาธิบดี เปิดเผยว่า ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. เห็นว่า ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม โดยขณะนี้รัฐบาลยังคงเน้นมาตรการเร่งด่วนในการสั่งระงับชั่วคราวแทน โดยในปี 2566 ประธานาธิบดีมาร์กอสเคยออกคำสั่งบริหารที่ 62 (Executive Order 62) เพื่อลดอัตราภาษีนำเข้าข้าวจากภาษีร้อยละ 35 เหลือ ร้อยละ 15 เป็นการชั่วคราวจนถึงปี 2571 เพื่อควบคุมราคาข้าวในประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดให้มีการตรวจสอบภาษีนำเข้าข้าวทุก 4 เดือน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีเป้าหมายฟื้นฟูราคาข้าวเปลือก ณ ไร่นาในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติฟิลิปปินส์ (PSA) พบว่าราคาเฉลี่ยของข้าวเปลือกในเดือนมิถุนายน 2568 อยู่ที่ 16.99 เปโซต่อกิโลกรัม จากเดิม 24.93 เปโซต่อกิโลกรัม ลดลงร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ข้อเรียกร้องจากภาคเกษตร
หลายภาคส่วนรวมถึงสมาคมอุตสาหกรรมเกษตรกรรมฟิลิปปินส์ (SINAG) และขบวนการชาวนาแห่งฟิลิปปินส์ (KMP) เห็นพ้องว่า การระงับนำเข้าข้าวเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำได้ในระยะยาว โดยระบุว่าปัญหาหลักอยู่ที่พระราชบัญญัติ Republic Act 11203 หรือกฎหมายเปิดเสรีนำเข้าข้าว ซึ่งส่งผลต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศ โดยนาย Jayson Cainglet ผู้อำนวยการบริหารของ SINAG เรียกร้องให้รัฐบาล ปรับภาษีนำเข้าข้าวกลับสู่ระดับเดิมที่ร้อยละ 35 สำหรับข้าวจากประเทศอาเซียนและร้อยละ 50 สำหรับข้าวจากนอกอาเซียน เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาข้าวเปลือกในประเทศ
เสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives)
ด้านสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) ฟิลิปปินส์ โดยนางสาว Princess Abante โฆษกสภาฯ และนาย Martin Romualdez ประธานสภาฯ ได้ออกมาสนับสนุนคำสั่งของประธานาธิบดี พร้อมชี้ว่า การหยุดการนำเข้าข้าวชั่วคราวจะช่วยเกษตรกรให้มีโอกาสฟื้นตัวและรักษาเสถียรภาพตลาดข้าวในประเทศซึ่งร่างกฎหมาย RICE Act หรือพระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรมข้าวและคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเสนอโดย นาย Martin Romualdez ประธานสภาฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อฟื้นฟูอำนาจในการกำกับดูแลของสำนักงานอาหารแห่งชาติ (NFA) พร้อมทั้งควบคุมปริมาณข้าวในตลาด ลดราคาขายปลีก และป้องกันการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรโดยพ่อค้าคนกลาง
นาย Martin Romualdez กล่าวว่า การระงับการนำเข้าข้าวในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวถือเป็นก้าวที่สำคัญในการปกป้องผลผลิตของเกษตรกรพร้อมย้ำว่านโยบายดังกล่าวมุ่งให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของประชาชนเป็นลำดับแรก ซึ่งในทุกฤดูกาลเก็บเกี่ยวเกษตรกรต้องเผชิญกับภาวะราคาข้าวเปลือกที่ตกต่ำเพราะข้าวนำเข้า การระงับการนำเข้าชั่วคราวนี้เป็นโอกาสให้เกษตรกรหยุดพัก ตั้งหลัก และตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
นาย Raymond Adrian Salceda ผู้แทนราษฎรจากจังหวัด Albay ระบุว่า การชะลอนำเข้าข้าวในช่วงที่เกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องพร้อมย้ำว่านี่คือช่วงเวลาที่เกษตรกรต้องพยายามสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงชีพ จึงมีหน้าที่ต้องปกป้องเกษตรกร
สถานการณ์ในพื้นที่เกษตรกรรม
ในจังหวัด Nueva Ecija ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวสำคัญของประเทศฟิลิปปินส์ เกษตรกรได้เริ่มเก็บเกี่ยวข้าวสำหรับฤดูผลิตหลัก ท่ามกลางแนวโน้มราคาข้าวเปลือก ณ ไร่นาที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
นาย Rolly dela Cruz ผู้ประกอบการค้าข้าวเปลือกจากเมือง San Miguel จังหวัด Bulacan เปิดเผยว่าเกษตรกรรู้สึกพึงพอใจกับการฟื้นตัวของราคาข้าวเปลือกในช่วงที่ผ่านมาหลังจากต้องเผชิญกับราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนก่อนหน้า โดยราคาข้าวเปลือกสด ณ ไร่นา (Fresh farmgate palay)ในขณะนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 13 – 14 เปโซต่อกิโลกรัม จากระดับต่ำสุดก่อนหน้านี้ที่ 8 – 10 เปโซต่อกิโลกรัม
นาย Rosendo So ประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมการเกษตรแห่งชาติ (SINAG) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลมีการปรับอัตราภาษีนำเข้าข้าวกลับมาอยู่ที่ร้อยละ 35 จะช่วยผลักดันให้ราคาข้าวเปลือกสดทรงตัวอยู่ที่ระดับ 17 – 18 เปโซต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม และเพียงพอจะจูงใจให้เกษตรกรยังคงดำเนินการเพาะปลูกในฤดูถัดไป
ขณะที่ นาย Raul Montemayor ผู้จัดการสหกรณ์เกษตรกรอิสระแห่งฟิลิปปินส์ (Federation of Free Farmers Cooperative) ระบุว่า การปรับตัวของราคาข้าวเปลือกอาจมีความเป็นไปได้หากรัฐบาลจะกลับไปใช้อัตราภาษีนำเข้าเดิม
โครงการข้าว 20 เปโซ/กิโลกรัม
ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. ระบุว่า หากการผลิตข้าวในประเทศปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลจะสามารถทยอยลดงบประมาณอุดหนุนในโครงการข้าวราคา 20 เปโซ/กิโลกรัมลงได้ และจะสามารถขยายการเข้าถึงของโครงการให้ครอบคลุมประชาชนได้มากขึ้น โดยโครงการข้าวดังกล่าวเริ่มดำเนินการนำร่องตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 สำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย โดยใช้งบประมาณจำนวน 4.5 พันล้านเปโซ จากกองทุนฉุกเฉินพร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนจากทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. ชี้แจงว่า ผลผลิตข้าวเปลือกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมาเป็นผลจากการดำเนินนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตรหลายประการ อาทิ การปราบปรามการลักลอบนำเข้าและการกักตุนข้าว การจัดสรรเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่เกษตรกร รวมถึงการมอบเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการปฏิรูปที่ดิน
ที่มา: หนังสือพิมพ์ The Philippine Star และ Manila Standard
บทวิเคราะห์และข้อคิดเห็น
คำสั่งของประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. ให้ระงับการนำเข้าข้าวทั่วไป (regular milled rice) และข้าวขัดสีคุณภาพดี (well-milled rice) เป็นระยะเวลา 60 วันตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาข้าวเปลือกตกต่ำในประเทศในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ที่เกษตรกรเพิ่งเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวและกำลังได้รับผลกระทบจากราคาที่อยู่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตการระงับการนำเข้าข้าวในช่วงนี้จึงเป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อพยุงราคาข้าวเปลือกให้ขยับตัวสูงขึ้นและป้องกันไม่ให้เกษตรกรประสบภาวะขาดทุนจากการขายผลผลิต อย่างไรก็ดี เนื่องจากแม้จะมีข้อยกเว้นว่าคำสั่งระงับนำเข้านี้จะไม่ครอบคลุมข้าวบาสมาติและข้าวชนิดพิเศษอื่น ๆ แต่ยังไม่มีความชัดเจนในนิยามหรือแนวทางการจำแนกประเภทข้าวชนิดพิเศษที่แน่ชัดจึงอาจส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นจากคำสั่งนี้ นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันในการปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าข้าวกลับไปสู่ระดับเดิมที่ร้อยละ 35 สำหรับประเทศในอาเซียน และร้อยละ 50 สำหรับประเทศนอกอาเซียน เพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกภายในประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวอาจเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้นด้านราคาข้าวเปลือกที่ตกต่ำเท่านั้นเนื่องจากการเพิ่มผลผลิตข้าวของฟิลิปปินส์เพื่อพึ่งพาตนเองคงไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันใกล้เนื่องจากฟิลิปปินส์มีช่องว่างระหว่างอุปทานและอุปสงค์ข้าวในประเทศอยู่อีกมากโดยผู้ประกอบการไทยจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนรองรับการส่งออกที่เหมาะสมต่อไป