fb
อุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพในสหรัฐอเมริกา

อุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพในสหรัฐอเมริกา

โดย
suwaparbs@ditp.go.th
ลงเมื่อ 23 กรกฎาคม 2568 11:00
22

 ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง เมื่อการจ้างงานในภาคการผลิตลดลงอย่างช้าๆ แต่ภาคอุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพกลับเติบโตขึ้นมาแทนที่และกลายเป็นหนึ่งในกลไกหลักของการจ้างงานในประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้ชัดเป็นพิเศษในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา โดยอุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพมีสัดส่วนการจ้างงานใหม่คิดเป็นประมาณ 1ใน 3 ของการเติบโตของการจ้างงานทั้งหมด ขณะที่ภาคอื่นๆ เช่น ภาคการค้าปลีกและภาคการผลิตแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง

image.png

     บุคลากรทางการแพทย์ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพยาบาล แพทย์เฉพาะทาง เจ้าหน้าที่ห้องแล็บ วิสัญญีแพทย์ และวิชาชีพที่เกี่ยวข้องอื่นๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเพิ่มจาก 9% ของแรงงานทั้งหมดในปี 2000 มาอยู่ที่ 13% ในปัจจุบัน และรัฐบาลสหรัฐฯ คาดว่ากระแสดังกล่าวจะดำเนินต่อไป เนื่องจากประชากรของประเทศมีแนวโน้มสูงวัยและต้องการการดูแลสุขภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่รวดเร็วดังกล่าวอาจชะลอลง เนื่องจากพรรครีพับลิกันประสบความสำเร็จในการผ่านร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณฉบับหลักของพรรค โดยคาดว่าร่างกฎหมายนี้จะตัดงบประมาณ Medicaid ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 6ของการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขทั้งหมดลงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า และงบประมาณอีกประมาณ 82,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะถูกตัดจากแหล่งเงินทุนด้านสุขภาพอื่นๆ เช่น จากMedicare และเงินอุดหนุนภายใต้กฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act

     ผลกระทบจะเห็นชัดเป็นพิเศษในคลินิกและโรงพยาบาลที่ให้บริการในพื้นที่ที่ประชาชนมีรายได้น้อย แม้ว่าร่างกฎหมายวุฒิสภาจะมีการจัดสรรกองทุนช่วยเหลือมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโรงพยาบาลในชนบท แต่เงินช่วยเหลือดังกล่าวก็ไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึงและไม่สามารถชดเชยการตัดงบ Medicaid ได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังอาจสร้างแรงกดดันต่อศูนย์การแพทย์ในสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังเผชิญกับการลดเงินสนับสนุนงานวิจัยอยู่แล้ว 

image.png

     อุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพมีอัตราการเติบโตของค่าจ้างที่เร็วกว่าอาชีพนอกอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มวิชาชีพทักษะระดับกลาง เช่น พยาบาลและผู้ช่วยแพทย์ ค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ค่าจ้างของแพทย์นั้นเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนที่นั่งในคณะแพทยศาสตร์ยังคงจำกัด และฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐอนุญาตให้บุคลากรที่มีการฝึกอบรมน้อยกว่าเข้ามาทำหน้าที่บางอย่างแทนแพทย์ เช่น การวินิจฉัยโรคและสั่งจ่ายยา

อุตสาหกรรมสุขภาพเติบโตจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. ประชาชนเข้าถึงการบริการสุขภาพได้มากขึ้น อัตราผู้ไม่มีประกันสุขภาพลดลงจาก 14% ในปี 2000 เหลือ 8% ในปี 2023 ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมาย Affordable Care Act ที่สนับสนุนให้รัฐต่างๆ ขยายโครงการ Medicaid ช่วยอุดหนุนประกันเอกชน และผลักดันให้นายจ้างจำนวนมากจัดหาสวัสดิการด้านสุขภาพให้กับลูกจ้าง

  2. ผู้ที่สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ก็หันมาใช้บริการด้านสุขภาพมากขึ้น จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่นโรคไตและมะเร็งก็พบมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันชาวอเมริกันก็เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลด้านสุขภาพมากขึ้นเช่นกัน

  3. ชาวอเมริกันมีรายได้มากขึ้นและใช้จ่ายกับสิ่งของอื่นๆ น้อยลง และหันมาใช้บริการด้านสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศและการใช้เครื่องจักรทำให้สินค้าอื่นๆ ทั่วไปมีราคาถูกลงอย่างมาก แต่การผ่าตัดหรือสถานดูแลผู้สูงวัยยังคงต้องใช้แรงงานคน ซึ่งไม่สามารถส่งออกไปทำในต่างประเทศหรือใช้ระบบอัตโนมัติแทนได้ง่าย

image.png

     การเติบโตของอุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพยังปรากฏให้เห็นในแง่ภูมิศาสตร์ด้วย โดยอุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพถือเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดใน 38 รัฐของสหรัฐฯ อดีตรัฐศูนย์กลางการผลิตบางแห่ง เช่น คลีฟแลนด์และพิตต์สเบิร์ก ได้เปลี่ยนมาเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ และโรงพยาบาลก็มักจะเป็นนายจ้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเล็กๆ หรือในพื้นที่ชนบท 

     แม้ผู้กำหนดนโยบายของรัฐบางรายจะยังให้ความสำคัญกับภาคการผลิต เนื่องจากสามารถผลิตสินค้าที่ส่งออกได้ แต่อุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพก็ส่งออกได้เช่นกัน เช่น ชาวต่างชาติเดินทางมายังโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาเพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง นักศึกษาต่างชาติศึกษาต่อในคณะแพทยศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และยาที่ผ่านการทดลองในสหรัฐฯ ก็ถูกจำหน่ายทั่วโลก การมีแรงงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ในประเทศที่ร่ำรวยและประชากรสูงวัยขึ้น การจ้างงานในภาคการบริการด้านสุขภาพย่อมเพิ่มตาม

     การจ้างงานบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 แต่โรคระบาดก็ทำให้บุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากลาออกเพราะความเหนื่อยล้าจากชั่วโมงทำงานที่สูงเกินไปและสภาพแวดล้อมที่เสี่ยง ปัจจุบันการจ้างงานในภาคการบริการด้านสุขภาพยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดและยังคงมีตำแหน่งงานว่างอยู่มากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น โรงเรียนสอนพยาบาลก็พยายามผลิตบัณฑิตใหม่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อชดเชยการขาดแคลน

      ในขณะเดียวกันก็มีตำแหน่งงานใหม่ๆ เกิดขึ้นในภาคการบริการด้านสุขภาพ เช่น นักจิตวิทยา, นักบำบัด เพราะการให้คำปรึกษาในรูปแบบออนไลน์แพร่หลายมากขึ้นและมีการสนับสนุนเกี่ยวกับสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้งนายจ้างและบริษัทประกันสุขภาพ

 

image.png

     นายจอน กุยดี ซีอีโอของบริษัท HealthCare Recruiters International ซึ่งรับจัดหาบุคลากรทั้งชั่วคราวและถาวร กล่าวว่าการขาดแคลนแรงงานในสายสุขภาพอย่างรุนแรงส่วนใหญ่ได้บรรเทาลงแล้ว ยกเว้นในสายสุขภาพจิต ซึ่งยังขาดแคลนอย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม การจ้างงานในภาคการบริการด้านสุขภาพก็อาจไม่เติบโตอย่างต่อเนื่องเสมอไป เนื่องจากการตัดงบประมาณด้านสุขภาพของรัฐบาลกลางที่เกิดขึ้น

     ร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณของพรรครีพับลิกันร่วมกับการปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลอาจส่งผลให้มีผู้ไม่มีประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นถึง 17 ล้านคนภายในปี 2034 แม้ว่าคนที่ไม่มีประกันจะมีแนวโน้มใช้บริการฉุกเฉินมากกว่าเพราะไม่สามารถเข้ารับการตรวจสุขภาพเชิงป้องกันได้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าค่าใช้จ่ายเหล่านั้นจะถูกชดเชยจากที่ใด นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีการเสนอให้ลดงบประมาณสนับสนุนการศึกษาและวิจัยทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตราการผลิตบุคลากรใหม่ในอนาคต

      อย่างไรก็ดี   อุตสาหกรรมการบริการด้านสุขภาพมีแนวโน้มมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายหัตถการสามารถทำแบบผู้ป่วยนอกได้ และความก้าวหน้าทางการผลิตยา เช่น ยารักษาเบาหวานที่ช่วยลดน้ำหนักได้ก็อาจช่วยลดการเกิดโรคอ้วนเรื้อรังได้ในระยะยาว นอกจากนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจช่วยลดภาระของแรงงานในภาคบริหาร ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20% ของการจ้างงานในภาคการบริการด้านสุขภาพ และยังสามารถช่วยลดภาระของแพทย์ พยาบาล และนักรังสีวิทยาในการทำงานซ้ำซ้อน

     นายเดวิด คัตเลอร์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านสุขภาพจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เตือนว่า แม้ความต้องการบุคลากรในการให้บริการด้านสุขภาพจะเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่อุตสาหกรรมนี้ไม่ควรถูกมองว่าเป็นแหล่งสร้างงานแบบไม่มีขีดจำกัด เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้สร้างภาระต่อผู้เสียภาษีและภาคธุรกิจและควรนำทรัพยากรส่วนเกินเหล่านั้นไปพัฒนาเศรษฐกิจในด้านอื่น

 

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

ข้อมูลอ้างอิง The New York Times

Share :
Instagram