จบไปแล้วกับการเจรจาข้อตกลงด้านภาษีการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป โดยสหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปในอัตรา 15% ขณะที่บรัสเซลส์ยังคงเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ไว้ที่ 0% ซึ่งนอกจากเงื่อนไขด้านภาษีแล้ว ข้อตกลงฉบับนี้ยังครอบคลุมการจัดซื้อพลังงานและการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายรายประเมินว่า สหภาพยุโรปอาจเผชิญความเสียเปรียบในเชิงการเมืองภายหลังการลงนามในข้อตกลงนี้ ขณะที่เศรษฐกิจของสเปนไม่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในทวีปยุโรป
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นางเออร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้เดินทางไปยังสก๊อตแลนด์เพื่อสรุปข้อตกลงกับประธานาธิบดีทรัมป์ สาระสำคัญประกอบด้วยการกำหนดอัตราภาษีนำเข้า 15% ต่อสินค้าส่งออกของสหภาพยุโรป ควบคู่กับข้อผูกพันในการจัดซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ ในปริมาณมาก และแผนการลงทุนเพิ่มเติม โดยข้อตกลงด้านภาษีนำเข้าดังกล่าวไม่เป็นไปในลักษณะ “เท่าเทียมกัน” เนื่องจากสหภาพยุโรปยังคงเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ ไว้ที่ 0% สะท้อนนัยยะด้านมิติทางเศรษฐกิจและการเมือง
ข้อตกลงนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสเปนและยุโรปอย่างไร?
ในกรณีของสเปน นายโฮเซ่ หลุยส์ เอสคริวา ผู้ว่าการธนาคารกลางย้ำว่า “ผลกระทบระยะสั้นจะอยู่ในระดับปานกลาง” เนื่องจากการส่งออกของสเปนไปยังสหรัฐเป็นสัดส่วนร้อยละ 5 ของการส่งออกทั้งหมด และสเปนเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศของสหภาพยุโรปที่มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่เยอรมนี ไอร์แลนด์ และอิตาลีกลับมีดุลการค้าเกินดุลมหาศาล คาดการณ์ว่าผลจากข้อตกลงล่าสุดนี้อาจส่งผลต่อ GDP ของประเทศในอัตราร้อยละ 0.15 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 0.10 ในส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูงสุด ได้แก่ น้ำมันมะกอก ไวน์ รวมถึงเครื่องจักรกล อิเล็กทรอนิกส์
ในสหภาพยุโรป เยอรมนีเป็นประเทศที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกามากที่สุด โดยในปี 2024 มูลค่าสินค้าส่งออกของเยอรมนีสูงกว่า 160,000 ล้านยูโร จึงนับว่าเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าครั้งนี้มากที่สุด รองลงมาคือไอร์แลนด์ (มากกว่า 72,000 ล้านยูโร), อิตาลี (กว่า 65,000 ล้านยูโร), ฝรั่งเศส (มากกว่า 47,000 ล้านยูโร), เนเธอร์แลนด์ (มากกว่า 43,000 ล้านยูโร) และเบลเยียม (กว่า 33,000 ล้านยูโร) ขณะที่สเปนอยู่อันดับที่ 7 โดยในปีเดียวกัน สเปนส่งออกสินค้าสู่สหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่า 18,179 ล้านยูโร
นักเศรษฐศาสตร์ Javier Santacruz ได้กล่าวในรายการ La hora de la 1 ว่า “ผู้บริโภคชาวอเมริกันจะต้องจ่ายภาษีสูงขึ้นถึงสามเท่า ยกตัวอย่างเช่นชิ้นส่วนยานยนต์และรถยนต์ที่ผลิตจากสเปน รวมไปถึงสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ด้วย” Santacruz ยังชี้ว่าประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ สหภาพยุโรปมีดุลการค้าสินค้ากับสหรัฐฯ เป็นบวก แต่มีดุลบริการเป็นลบ ขณะที่สำหรับสเปนกลับมีสถานการณ์ตรงกันข้าม เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของสเปนมาจากการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ไม่สามารถกำหนดภาษีนำเข้าได้
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจเฉพาะกลุ่ม
ภาคธุรกิจส่งออกหลักของสเปน เช่น น้ำมันมะกอกและยานยนต์ ได้แสดงปฏิกิริยาต่อข้อตกลงนี้แล้ว Rafael Pico Acevedo รองผู้อำนวยการสมาคมอุตสาหกรรมและการค้าส่งออกน้ำมันมะกอกและน้ำมันกากมะกอกของสเปน (ASOLIVA) ระบุถึงความสำคัญของตลาดสหรัฐฯ สำหรับภาคธุรกิจของเขา พร้อมแสดงความรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย โดยกล่าวว่าภาษีนำเข้า 30% ที่เคยถูกพิจารณาในตอนแรกนั้นจะทำให้พวกเขาไม่สามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้เลย
อย่างไรก็ตาม เขายังมองว่าผลกระทบจากภาษีนำเข้าใหม่ 15% นี้ ยังต้องติดตามดูต่อไป เพราะภาษีลักษณะนี้สร้างความบิดเบือนในการค้าระหว่างประเทศ ไม่ใช่เพียงระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปเท่านั้น “ตัวอย่างเช่น ตูนิเซียซึ่งเป็นคู่แข่งของสเปนและอียูในการส่งออกน้ำมันมะกอกถูกเก็บภาษีที่ 25% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น ตุรกีหรือโมร็อกโก ซึ่งเป็นผู้ผลิตและคู่แข่งเช่นกัน กลับถูกเก็บภาษีที่ 10%” เขาอธิบายในรายการ Las mañanas de RNE
ทางด้านสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป (ACEA) ได้แสดงความโล่งใจกับข้อตกลงการค้าฉบับนี้ เนื่องจากภาษีของอุตสาหกรรมยานยนต์ถูกปรับลดจาก 27% ลงมาเหลือ 15% ซึ่งแม้สเปนจะไม่ได้ส่งออกยานยนต์โดยตรงไปยังสหรัฐฯ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของ supply chain ส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังประเทศยักษ์ใหญ่ในสหภาพยุโรปคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ หลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ACEA ยังเรียกร้องให้มีความพยายามมากขึ้นในการลดอุปสรรคทางการค้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก Sigrid de Vries ผู้อำนวยการสมาคมกล่าวว่า “นี่ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยผ่อนคลายความไม่แน่นอนอันรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา” แต่เธอก็ย้ำว่าภาษีนำเข้ายังคงส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ยังรอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าที่จะได้รับการยกเว้น โดยมีการประกาศเบื้องต้นแล้วว่าอาจจะรวมถึงอุตสาหกรรมยา ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจไวน์ของยุโรปก็รอคอยด้วยความคาดหวังที่จะถูกจัดเข้าไปในกลุ่มสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี Marzia Varvaglione ประธานคณะกรรมการบริษัทไวน์ยุโรป (CEEV) ระบุในข่าวประชาสัมพันธ์ว่า “เรากำลังติดตามผลการเจรจาเกี่ยวกับรายการสินค้าที่จะอยู่ในข้อตกลงปลอดภาษี (zero-for-zero) ซึ่งรวมถึงสินค้ากลุ่มเกษตรบางประเภท” ด้านสมาพันธ์ไวน์สเปน (FEV) ซึ่งเป็นสมาชิกของ CEEV ก็เตือนว่าหากไวน์ไม่ถูกจัดเข้าในรายการยกเว้น ภาคธุรกิจไวน์จะได้รับ “ผลกระทบรุนแรง”
ผลกระทบต่อราคาสินค้าในสเปนจะเป็นอย่างไร?
นักเศรษฐศาสตร์ชาวสเปน Javier Santacruz กล่าวว่า “สเปนนำเข้าก๊าซและน้ำมันจากสหรัฐฯ เป็นสัดส่วนสำคัญมาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของก๊าซ ดังนั้น สหรัฐฯ จึงมีอำนาจในการต่อรองสูงขึ้นไม่เพียงกับสเปน แต่รวมถึงประเทศยุโรปอื่นๆ ด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดความตึงเครียดตามมา เพราะสุดท้ายแล้วพลังงานมีสัดส่วนถึงหนึ่งในสามของตะกร้าการบริโภค” ขณะที่ Steinberg ชี้ให้เห็นถึงกระแสที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และระบุว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อยุโรปยังขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินดอลลาร์ด้วย หากดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร ก็จะส่งผลเสียต่อการส่งออกของยุโรป แต่ถ้าเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นและทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ยุโรปก็อาจได้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าว
นัยยะทางการเมืองของข้อตกลงนี้ไม่เป็นที่พอใจของฝ่าย “เขียว”
ขณะที่ทางสหภาพยุโรปและรัฐบาลสเปนบางส่วนมองว่าข้อตกลงฉบับนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการหลีกเลี่ยงการยกระดับมาตรการภาษีนำเข้า และช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับภาคธุรกิจของสเปน แต่ฝ่ายการเมืองฝั่ง Sumar ซึ่งให้ความสำคัญกับแรงงานและนโยบายสีเขียว กลับมองว่าข้อตกลงนี้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เทียบเท่ากับ “การมอบยุโรปให้สหรัฐอเมริกา”การเก็บภาษีนำเข้าจะส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ สูงขึ้นโดยตรง เนื่องจากผู้บริโภคสหรัฐฯ ต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้านำเข้าที่ไม่ได้ผลิตภายในประเทศของตนเอง อย่างไรก็ตาม ในยุโรปและสเปนผลกระทบจากเงินเฟ้ออาจต้องใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย และจะเกี่ยวข้องกับราคาพลังงานเป็นหลัก
นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน Elcano Royal Institute อธิบายว่า ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว มาตรการภาษีถือเป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วจะทำให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ สูงขึ้น ขณะที่สหภาพยุโรปยังสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจกลับเป็นเรื่องของการเมืองระหว่างประเทศ และความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะกดดันยุโรป มากกว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
ด้าน Jesús A. Núñez Villaverde ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศจากสถาบัน IECAH วิจารณ์ข้อตกลงนี้ว่าข้อตกลงนี้เป็นเหมือนการตอกตะปูเพิ่มลงบนโลงศพของสหภาพยุโรปในฐานะโครงการทางการเมือง โดยมองว่าข้อตกลงดังกล่าวยิ่งทำให้สหภาพยุโรปต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ชาติพันธมิตรในกรอบนาโต (NATO) ได้ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณทางทหารผ่านการจัดซื้อยุทโธปกรณ์จากอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ "สหภาพยุโรปยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากอำนาจและความสามารถทั้งหมดที่มีอยู่ในการเจรจาครั้งนี้อย่างเต็มที่" Núñez กล่าวเสริม
นอกจากนี้ Núñez ยังวิจารณ์ถึงการเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาพลังงานของรัสเซียมาสู่การพึ่งพาสหรัฐฯ ว่า "ไม่ได้ส่งผลให้ยุโรปเข้าใกล้เป้าหมายการลดคาร์บอนมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม กลับยิ่งทำให้ยุโรปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐฯ มากขึ้นทั้งในแง่เนื้อหาและวิธีการ" เขายังกล่าวเน้นย้ำอีกว่า "ภาพลักษณ์ของข้อตกลงครั้งนี้น่ากังวลอย่างมาก เพราะไม่ได้เกิดจากการประชุมสุดยอดอย่างเป็นทางการระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แต่กลับเป็นลักษณะของการที่โดนัลด์ ทรัมป์ เชิญอูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ไปยังสนามกอล์ฟส่วนตัวของเขาเสียมากกว่า"
ข้อคิดเห็นของ สคต.
ในระยะสั้นถึงกลางเศรษฐกิจสเปนจะได้รับผลกระทบต่ำกว่าสมาชิกสหภาพยุโรปประเทศอื่น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยต้องติดตามสภาวะเศรษฐกิจและบรรยากาศตลาดยุโรปรวมถึงหารือกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เนื่องจากในระยะยาวอาจขยายผลไปสู่กำลังซื้อที่หดตัวของผู้บริโภคยุโรปและสหรัฐซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวรายสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสเปน ที่สำคัญยังเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมสินค้า บริการ และอาหารไทยด้วย
ที่มา: RTVE.ES / El Pais / El Mundo / 20 minutos
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมาดริด
สิงหาคม 2568