ตลาดเภสัชกรรมของอินเดียกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งตลาดโลกสูงถึง 5% ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) จากมูลค่าตลาดปัจจุบันที่ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะขยายตัวถึง 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งและการส่งออกไปยังต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันอุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรมในอินเดียมีมูลค่าประมาณ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.2 ถึง 2.4 เท่าในช่วง 6 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะมีมูลค่าระหว่าง 120,000 ถึง 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 และอาจแตะระดับ 450,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2590 อุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรมโลกในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยอินเดียมีส่วนแบ่งอยู่ที่ประมาณ 3% ถึง 3.5% การเติบโตที่คาดการณ์ไว้จะยิ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของอินเดียในฐานะผู้เล่นหลักในเวทีอุตสาหกรรมยาโลก
จุดเด่นของอุตสาหกรรมยาอินเดียคือ ตลาดส่งออกมีขนาดใกล้เคียงกับตลาดภายในประเทศ ซึ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งด้านการแข่งขันระดับโลก การส่งออกยาของอินเดียมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยคิดเป็น 6% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมด ในปี 2566 อินเดียส่งออกยาได้มูลค่า 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% ข้อมูลจากรายงานยังระบุไว้ว่า กว่า 70% ของการส่งออกเป็นยาในรูปแบบสำเร็จรูป ในขณะที่ ยาชั้นต้น (bulk drugs) และ สารตั้งต้น (intermediates) คิดเป็นราว 20% กลุ่มผลิตภัณฑ์ส่งออกอื่น ๆ ได้แก่ วัคซีน ยาชีววัตถุคล้ายคลึง (biosimilars) และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เช่น สารเคมีใหม่ (New Chemical Entities: NCEs) และ ชีววัตถุใหม่ (New Biological Entities: NBEs) อินเดียได้สร้างตัวเองให้เป็น “ศูนย์กลางเภสัชภัณฑ์ของโลก” โดยมีโรงงานผลิตยามากกว่า 10,000 แห่ง บริษัทเภสัชภัณฑ์กว่า 3,000 แห่ง และโรงงานที่ผ่านการรับรองจาก องค์การอาหารและยาสหรัฐ (US-FDA) ถึง 650 แห่ง ซึ่งถือเป็นจำนวนมากที่สุดที่ตั้งฐานการผลิตนอกสหรัฐอเมริกา อินเดียยังเป็นผู้จัดจำหน่ายยาสามัญรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยผลิตยาสามัญ 1 ใน 5 ที่จำหน่ายทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ยาอินเดียส่งออกไปเกือบ 200 ประเทศ โดยตอบสนองความต้องการยาสามัญในทวีปแอฟริการาว 50% และในสหรัฐอเมริกาประมาณ 40% ด้วยศักยภาพในการผลิตยาคุณภาพสูงในต้นทุนต่ำ อินเดียจึงได้รับสมญานามว่า "ร้านขายยาของโลก (Pharmacy of The World)"
แม้อินเดียจะเป็นผู้นำในเชิงปริมาณการผลิต แต่อย่างไรก็ดี ในด้านมูลค่าการส่งออก อินเดียยังคงตามหลังประเทศอื่น ๆ โดยรายงานระบุว่า อินเดียอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก ในเชิงของมูลค่าการส่งออกยา คิดเป็นเพียงประมาณ 3% ของการส่งออกยาทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง การส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง และความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมทางเภสัชกรรม อุตสาหกรรมยาอินเดียจึงมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างโดดเด่นในปีถัดไป
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. ตามรายงานของ HDFC Securities อุตสาหกรรมยาและการดูแลสุขภาพของอินเดียมีแนวโน้มรายได้เติบโตต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 (Q1FY26E) โดยธุรกิจยาคาดว่าจะมีการเติบโตของยอดขาย 11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งเป็นผลจากยอดขายภายในประเทศที่เติบโต 11% และยอดขายในตลาดสหรัฐที่เพิ่มขึ้น 2% ทั้งในเชิงรายปีและรายไตรมาส อย่างไรก็ดี อัตรากำไร (EBITDA) อาจลดลง 42 จุดฐาน (bps) เนื่องจากแรงกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ราคาขายที่แข่งขันในตลาดสหรัฐ และการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาที่คาดว่าจะขยายตัว ขณะที่ธุรกิจโรงพยาบาลคาดว่าจะเติบโต 15% (YoY) โดยได้รับแรงสนับสนุนจากระดับ ARPOB (Average Revenue Per Occupied Bed) ที่มีเสถียรภาพ แม้อัตราการเข้าพักผู้ป่วยจะไม่สูงขึ้นก็ตาม
2. ในภาพรวม อินเดียจัดเป็นประเทศผู้ผลิตยารายใหญ่อันดับ 3 ของโลกในเชิงปริมาณ และอันดับที่ 14 ในเชิงมูลค่า ด้วยโครงสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ยาสามัญ ยาชั้นต้น ยา OTC วัคซีน ไปจนถึงชีววัตถุคล้ายคลึงและชีววัตถุ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยาอินเดียมีบทบาทสำคัญในระดับโลกอย่างชัดเจน
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย
1. โอกาสในการส่งออกสินค้าและเทคโนโลยีด้านเภสัชภัณฑ์ของไทย: การขยายตัวของภาคการผลิตยาในอินเดีย โดยเฉพาะความต้องการสารออกฤทธิ์ทางยา (APIs) สารตั้งต้น เครื่องจักรผลิตยา และอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ เพื่อรองรับการลดการพึ่งพาจีน เปิดโอกาสให้ไทยวางตำแหน่งตนเองในฐานะผู้จัดหาสินค้าและเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือในห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค
2. ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในสาขานวัตกรรมสุขภาพและผลิตภัณฑ์เสริม: แนวโน้มการเติบโตของอินเดียในด้านยา
ชีววัตถุ ยาที่มีนวัตกรรม วัคซีน และตลาดสุขภาพแบบองค์รวม เช่น อายุรเวทและเวชภัณฑ์จากธรรมชาติ สอดคล้องกับจุดแข็งของไทยในด้านสมุนไพร ผลิตภัณฑ์สปา และโภชนเภสัชภัณฑ์ อันนำไปสู่โอกาสในการสร้างความร่วมมือด้านการวิจัย การลงทุนร่วม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมข้ามสาขา
3. กฎระเบียบด้านการนำเข้ายาของอินเดียมีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น: โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและการตรวจสอบทางคลินิก (clinical validation) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย (SMEs) ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดอินเดีย
ข้อคิดเห็น
1. จากข้อมูลล่าสุดประจำปี พ.ศ. 2567 อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ของอินเดียมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 61,360–65,200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าจะเติบโตแตะระดับ 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2573 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีระหว่างร้อยละ 8.75–11.32 ทั้งนี้ อินเดียได้มีนโยบายผลักดันตนเองเป็นศูนย์กลางการผลิตยาสามัญระดับโลก ด้วยการใช้ความได้เปรียบจากโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยโรงงานผลิตมากกว่า 10,000 แห่ง และโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก USFDA จำนวน 650 ความสามารถนี้ทำให้อินเดียสามารถผลิตยาสามัญได้ถึงหนึ่งในห้าของยาทั้งหมดที่จำหน่ายทั่วโลก และยังสามารถส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา มูลค่า 8,730 ล้านเหรียญสหรัฐ สหราชอาณาจักร 784.32 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดอื่น ๆ ในหลากหลายภูมิภาค
2. แม้อินเดียจะมีปริมาณการส่งออกในระดับสูง แต่มูลค่าการส่งออกกลับคิดเป็นเพียงร้อยละ 3 ของการส่งออกเภสัชภัณฑ์ทั่วโลก และอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก โดยกว่าร้อยละ 70 ของสินค้าส่งออกเป็นยาสำเร็จรูป และประมาณร้อยละ 20 เป็นยาดิบและสารตั้งต้น สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะตลาดที่มุ่งเน้นการแข่งขันด้านราคาและปริมาณ มากกว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงนวัตกรรม สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเภสัชกรรมโลกเพียงร้อยละ 0.5 การเข้าสู่ตลาดอินเดียจำเป็นต้องดำเนินการด้วยกลยุทธ์ที่รอบคอบและยืดหยุ่น ประกอบกับรัฐบาลมีแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบยาของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 อันจะเพิ่มศักยภาพการวิจัยนวัตกรรมพัฒนายาที่มีความสำคัญ โดยจะผลักดันให้เกิดการผลิตยานวัตกรรมและเพิ่มมูลค่าการส่งออกยา และส่งเสริมให้มีการผลิตวัตถุดิบยาและสมุนไพรในประเทศระยะสั้น (เช่น สารสกัดฟ้าทะลายโจร) พร้อมทั้งยกร่างกฎหมายส่งเสริมเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างครบวงจร ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรมุ่งให้ความสำคัญในเรื่อง (1) การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนการผลิต (2) การจัดตั้งพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับภาคอุตสาหกรรมในอินเดีย และ (3) การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น สารเคมีใหม่ (New Chemical Entities: NCEs) และสารชีวภาพใหม่ (New Biological Entities: NBEs) เพื่อสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในตลาดที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้น
ที่มา: 1.https://economictimes.indiatimes.com/industry/healthcare/biotech/pharmaceuticals/india-pharma-healthcare-revenue-to-grow-steadily-in-q1fy26e-ebitda-margins-under-pressure-report/articleshow/122401925.cms?from=mdr
2. https://auto.economictimes.indiatimes.com/news/industry/indias-automotive-sector-drives-5-trillion-economy-ambition-with-record-exports/122150911