มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ของสหรัฐ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานของอินเดีย

インド ซึ่งพึ่งพาน้ำมันนำเข้าเกือบทั้งหมด กำลังเผชิญความเสี่ยงทางพลังงานครั้งใหญ่ หลังวุฒิสภาสหรัฐฯ เสนอร่างกฎหมายกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อประเทศที่ยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย โดยมีสมาชิกวุฒิสภากว่า 80 คนให้การสนับสนุน

ปัจจุบัน อินเดียนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียมากถึง 1.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นประมาณ ร้อยละ 39 ของการนำเข้าน้ำมันทั้งหมดในเดือนพฤษภาคม 2568 และมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ ร้อยละ 35 ของค่าใช้จ่ายน้ำมันดิบของประเทศในปีงบประมาณ 2567-68

น้ำมันรัสเซียราคาต่ำ ดึงดูดโรงกลั่นอินเดีย

จากข้อมูลของบริษัท Kpler พบว่า ปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียในเดือนพฤษภาคม 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ทั้งนี้ เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบ Urals ของรัสเซีย ซึ่งต่ำกว่าน้ำมัน Brent อยู่ที่ประมาณ 2–5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เช่นเดียวกับน้ำมัน ESPO และ Sokol ที่มีราคาต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้รัสเซียกลายเป็นแหล่งนำเข้าทางเลือกหลักของโรงกลั่นอินเดีย

สำหรับแหล่งนำเข้ารองลงมาของอินเดีย ได้แก่ อิรัก (1.2 ล้านบาร์เรล/วัน) ซาอุดีอาระเบีย (615,000 บาร์เรล/วัน) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (490,000 บาร์เรล/วัน) และสหรัฐอเมริกา (280,000 บาร์เรล/วัน)

ตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2565 รัสเซียได้เสนอขายน้ำมันราคาต่ำเพื่อดึงดูดตลาดใหม่ ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดในอินเดียของรัสเซียเพิ่มขึ้นจากไม่ถึงร้อยละ 1 เป็นมากกว่าร้อยละ 40–44 ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี

ภัยคุกคามจากมาตรการคว่ำบาตรสหรัฐ

ร่างกฎหมายของสหรัฐฯ เสนอการจัดเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 500 สำหรับประเทศที่ยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งจะกระทบต่ออินเดียและจีนโดยตรง สถานการณ์นี้ทำให้โรงกลั่นของรัฐในอินเดียเริ่มกังวลต่อเสถียรภาพการนำเข้า ขณะเดียวกัน ธนาคารบางแห่งเริ่มจำกัดการให้สินเชื่อกับเรือบรรทุกน้ำมันที่ใช้ช่องทาง “dark fleet” หรือหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านราคาและประกันภัย

แหล่งนำเข้าทางเลือกอื่น – ต้นทุนสูงขึ้น

แม้อิรักจะเป็นแหล่งนำเข้าหลักอันดับสอง แต่ราคาน้ำมัน Basrah อยู่ที่ประมาณ 76 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งไม่มีความได้เปรียบด้านต้นทุน เมื่อเทียบกับรัสเซีย ขณะที่ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ถูกลดบทบาทลงด้วยเหตุผลเดียวกัน

อินเดียจึงเริ่มหันไปพิจารณาน้ำมันจากไนจีเรีย แองโกลา และบราซิล ซึ่งแม้จะเหมาะกับระบบกลั่นในประเทศ แต่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความร่วมมือและโครงสร้างโลจิสติกส์ นักวิเคราะห์จึงแนะนำว่า อินเดียควรทำสัญญาระยะยาวกับแหล่งเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงระยะสั้น

เพิ่มกำลังผลิตในประเทศ: ทางออกระยะยาว

ในระยะยาว อินเดียต้องลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยเร่งสำรวจและผลิตน้ำมันในประเทศ ภายใต้นโยบาย Open Acreage Licensing Policy (OALP) พร้อมใช้เทคโนโลยีใหม่เพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำมันเก่า และปรับปรุงโรงกลั่นให้สามารถรองรับน้ำมันจากแหล่งที่หลากหลาย

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้ายังล่าช้าเนื่องจากการผลิตในประเทศยังคงต่ำกว่าร้อยละ 15 ของความต้องการทั้งหมด ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งปฏิรูประบบอนุมัติ และเพิ่มสิ่งจูงใจด้านการลงทุนเพื่อส่งเสริมความมั่นคงพลังงาน

พลังงานสีเขียว: โอกาสในการปฏิรูป

อีกหนึ่งแนวทางคือการเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ เพื่อทั้งลดคาร์บอนและลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้า

โดยในเดือนมิถุนายน 2568 ผู้อำนวยการ IEA นายฟาติห์ ไบโรล มีกำหนดหารือร่วมกับรัฐมนตรีพาณิชย์ของอินเดีย โดยย้ำความสำคัญของการลงทุนด้านพลังงานสะอาด อินเดียมีโครงการ FAME-II และนโยบายส่งเสริม EV ระดับรัฐ โดยตั้งเป้าให้ EV ครองสัดส่วนร้อยละ 30 ภายในปี 2573

ความมั่นคงแร่หายาก: กุญแจสู่อนาคต

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวต้องพึ่งแร่ลิเทียม โคบอลต์ และแร่หายาก ซึ่งยังมีความเสี่ยงด้านอุปทาน อินเดียจึงเร่งสำรวจแหล่งแร่ในประเทศ เช่น แคว้นชัมมูและแคชเมียร์ และเจรจาความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิต เช่น ออสเตรเลีย ชิลี และแอฟริกา ภายใต้ความตกลง “India–Australia Critical Minerals Partnership” ซึ่งคาดว่าจะลงนามปลายปีนี้

นอกจากนี้ อินเดียยังมุ่งส่งเสริม การวิจัย–พัฒนาแบตเตอรี่ และใช้กลไก Production-Linked Incentive (PLI) เพื่อสร้างฐานการผลิตภายในประเทศอย่างยั่งยืน

บทสรุป: แนวทางการจัดการความมั่นคงทางพลังงาน

การรักษาความมั่นคงทางพลังงานของอินเดียไม่ใช่เพียงการหาน้ำมันจากแหล่งอื่น แต่หมายถึงการจัดการการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หากยังพึ่งพาน้ำมันรัสเซีย อินเดียอาจต้องเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากตะวันตก แต่หากสามารถเร่งพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศ และผลักดันการใช้พลังงานสะอาดให้เป็นรูปธรรม อินเดียอาจพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสครั้งใหญ่ในการปฏิรูประบบพลังงาน สู่เป้าหมายการเป็น “ฐานการผลิตพลังงานสะอาดของโลก” อย่างแท้จริง

แหล่งที่มา

  1. US sanctions on Russian oil expose India’s energy risks, Policy Circle Bureau, June 5th, 2025, https://www.policycircle.org/policy/russian-oil-indias-energy-risks.
  2. India’s Russian oil imports surge to 10-month high in May amid diversification push, Times of India, June 3rd, 2025, https://timesofindia.indiatimes.com/business/india-business/indias-russian-oil-imports-surge-to-10-month-high-in-may-amid-diversification-push/articleshowprint/121596396.cms?val=3728
  3. US sanctions on Russia likely to cripple India’s crude oil imports, Business Standard, June 1st, 2025, https://www.business-standard.com/industry/news/us-sanctions-on-russia-likely-to-cripple-india-s-crude-oil-imports-125060100704_1.html

หมายเหตุ

  1. น้ำมัน Urals Crude เป็นน้ำมันดิบแบบผสม (blend) ที่รวมระหว่างน้ำมันจากภูมิภาค Volga และ ตะวันตกของไซบีเรีย ส่งออกจากท่าเรือทางตะวันตก เช่น Novorossiysk (ทะเลดำ) และ Primorsk (ทะเลบอลติก)

คุณสมบัติ: ความหนาแน่น (API gravity): ประมาณ 30–32° API (ถือว่าเป็น น้ำมันดิบหนักปานกลาง) มีปริมาณกำมะถัน (Sulfur content): ประมาณ 1.2–1.5% (จัดเป็น sour crude)

เหมาะกับโรงกลั่นที่มีระบบซับซ้อน ใช้กระบวนการแยกสารกำมะถัน นิยมใช้ในยุโรป อินเดีย และจีน

  1. น้ำมัน Sokol Crude ผลิตจากแหล่งน้ำมัน Sakhalin-1 ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของรัสเซีย ใกล้ทะเลโอคอตสค์ ส่งออกจากท่าเรือ De-Kastri บนชายฝั่งตะวันออก

คุณสมบัติ: ความหนาแน่น (API gravity): ประมาณ 36–38° API (light crude) มีปริมาณกำมะถัน (Sulfur content): ต่ำมาก ประมาณ 0.25–0.3% (sweet crude)

เป็นที่ต้องการสูงจากโรงกลั่น เนื่องจากกลั่นได้ง่ายและให้ผลิตภัณฑ์เช่น เบนซินหรือดีเซลที่มีคุณภาพดี นิยมในตลาดเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และจีน

 

 

 

 

 

 

jaJapanese