การแพทย์เฉพาะบุคคลเข้าใกล้ความจริง เมื่อชาวเอมิเรตส์กว่า 800,000 คนเข้าร่วมโครงการจีโนม

โครงการจีโนมแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) หรือThe Emirati Genome Programme ก้าวหน้าไปอีกขั้น หลังสามารถเก็บข้อมูลพันธุกรรมจากชาวเอมิเรตส์ได้มากกว่า 815,000 คนแล้ว โดยมีเป้าหมายรวม 1 ล้านคน เพื่อปฏิวัติวงการสาธารณสุขด้วยการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine)

โครงการนี้เริ่มต้นในปี 2562 ที่กรุงอาบูดาบี ก่อนขยายครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเปิดให้ประชาชนเข้าร่วมโดยสมัครใจผ่านศูนย์เก็บตัวอย่างที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลและคลินิกทั้ง 7 รัฐ ข้อมูลทั้งหมดได้รับการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย และไม่สามารถเข้าถึงได้หากไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล

พัฒนา “การแพทย์แม่นยำ” สู่การรักษาเชิงรุก

โครงการนี้นำโดยกรมสาธารณสุขอาบูดาบี (Abu Dhabi’s Department of Health) ร่วมกับ ภาคี สุขภาพหลายแห่ง รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ M42 ซึ่งได้จับมือกับบริษัท Juvenescence จากสหราชอาณาจักร เพื่อพัฒนา “ยาตรงเป้า” ที่สามารถรักษาโรคได้ก่อนที่อาการจะแสดงออก

เปลี่ยนจากการรักษาเป็นการป้องกัน

Dr Fahed Al Marzooqi ผู้บริหาร M42 กล่าวว่า แนวทางใหม่ของระบบสุขภาพคือการเปลี่ยนจาก “รักษาเมื่อป่วย” ไปสู่ “ตรวจจับและป้องกันก่อนเกิดโรค” ด้วยข้อมูลพันธุกรรมเฉพาะบุคคล สามารถตรวจพบความเสี่ยงของโรคตั้งแต่เด็กแรกเกิด นั่นหมายถึงโอกาสในการรักษาหรือป้องกันโรคได้ก่อนที่จะพัฒนาเต็มที่ ดังนั้นข้อมูลพันธุกรรมช่วยให้สามารถคาดการณ์และวางแผนการรักษาได้แม่นยำในระดับบุคคล อีกทั้งข้อมูลจีโนม (Genome)  เหล่านี้ยังสามารถนำมาใช้พัฒนายาที่ตรงกับพันธุกรรมของแต่ละบุคคล โดยใช้เทคโนโลยี AI เร่งกระบวนการวิจัยและพัฒนา ซึ่งโดยปกติอาจใช้เวลานานถึง 15-25 ปี

ควบคุมโรคทางพันธุกรรม

การถอดรหัสพันธุกรรมยังเปิดโอกาสในการวินิจฉัยและควบคุมโรคที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน เช่น มะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งคิดเป็นราว 10% ของผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลก รวมถึงโรคโลหิตจางพันธุกรรม (sickle-cell anaemia)

นอกจากนี้ การศึกษาจากสภาจีโนมแห่งเอมิเรตส์ (The Emirates Genome Council) ซึ่งก่อตั้งใน   ปี 2564 พบตัวแปรยีนใหม่กว่า 5 ล้านรายการจากชาวเอมิเรตส์ 50,000 คน ยิ่งตอกย้ำถึงศักยภาพในการพัฒนายารักษาโรคเฉพาะกลุ่มประชากร

ก้าวสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมสุขภาพโลก

ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายผลักดันให้อาบูดาบีกลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมด้านชีวการแพทย์ระดับโลก โดยมีการลงทุนในเทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนายาเฉพาะบุคคลที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการดูแลสุขภาพในอนาคต

นาย Hasan Jasem Al Nowais  ผู้บริหาร M42 กล่าวสรุปว่า“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของนวัตกรรม แต่เป็นเรื่องของผลกระทบที่จับต้องได้ ทั้งต่อชีวิตของผู้คน ต่อวิทยาศาสตร์ และต่ออนาคตของระบบสุขภาพโลก”

ความเห็นของ สคต.ดูไบ

การดำเนินโครงการจีโนมและการพัฒนา “การแพทย์เฉพาะบุคคล” ในยูเออี อาจส่งผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบต่อการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ดังนี้

✅  ผลกระทบเชิงบวก:

  1. คัดกรองยาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น: ข้อมูลพันธุกรรมช่วยให้สามารถเลือกนำเข้ายา ที่เหมาะกับประชากรเอมิเรตส์โดยเฉพาะ ลดการสั่งยาที่ไม่จำเป็นหรือใช้ไม่ได้ผล
  2. เพิ่มความร่วมมือกับบริษัทยาต่างชาติ: การมีฐานข้อมูลพันธุกรรมที่ครอบคลุม ทำให้ต่างประเทศสนใจลงทุนหรือวิจัยร่วมกับยูเออีมากขึ้น เช่น การร่วมพัฒนายาเฉพาะทางร่วมกับบริษัทไบโอเทคต่างชาติ
  3. ยกระดับมาตรฐานการนำเข้า: ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกช่วยให้การนำเข้ายาต้องผ่านการคัดกรองด้านคุณภาพและประสิทธิภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้น

ผลกระทบเชิงลบ:

  1. ลดการพึ่งพายาทั่วไปจากต่างประเทศ: เมื่อสามารถผลิตยาที่พัฒนาจากข้อมูลพันธุกรรมภายในประเทศเองได้ การนำเข้ายาทั่วไปอาจลดลง ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทยาต่างชาติ
  2. ข้อจำกัดด้านการอนุมัติยาใหม่: ยาที่ไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าใช้ได้ผลกับพันธุกรรมของชาว เอมิเรตส์อาจถูกปฏิเสธหรือชะลอการนำเข้า ทำให้มีขั้นตอนซับซ้อนและล่าช้าขึ้น
  3. แรงกดดันด้านต้นทุน: การเน้นยาที่เฉพาะเจาะจงกับพันธุกรรมอาจทำให้ต้องพัฒนาหรือดัดแปลงยาพิเศษ ซึ่งต้นทุนสูง และอาจกระทบความสามารถในการนำเข้ายาบางประเภทที่ไม่ได้คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

————————————————————————————–

ที่มา : thenationalnews.com

jaJapanese