รัฐบาลลดค่าคาดการณ์ทางเศรษฐกิจลง

รัฐบาลกลางของเยอรมนีได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจลง โดยคาดว่า ภายในปี 2025 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโต 0.0% หรือไม่เติบโตเลย ซึ่งเดิมทีรัฐบาลตั้งเป้าว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ที่ 0.3% และนี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเยอรมนีที่เศรษฐกิจของประเทศไม่เติบโตติดต่อกัน 3 ปี ในขณะเดียวกันปีนี้ ดูเหมือนว่า จะไม่มีแนวโน้ม/ปัจจัยบวกใหม่ด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้น และจากแหล่งข่าวของรัฐบาลได้เปิดเผยว่า ในปี 2026 รัฐบาลกลางฯ คาดว่า GDP น่าจะโต “1.0%” โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา รัฐบาลกลางฯ ได้คาดการณ์ว่า GDP ของปีหน้า จะโตที่ 1.1% ในขณะที่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจฯ ลงอีกครั้งและตามการคาดการณ์ของ IMF เยอรมนีจะกลายเป็นประเทศเดียวในกลุ่ม G7 (Group of Seven) ที่น่าจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา IMF คาดการณ์การเติบโตของ GDP เยอรมนีไว้ที่ 0.3% ในปัจจุบัน IMF มองว่า สถานการณ์ของเยอรมนียังเป็นลบอยู่ และคาดว่า ปี 2026 GDP ของเยอรมนีจะเติบโตเพียง 0.9% เท่านั้น ซึ่ง IMF ยอมรับว่า นโยบายการเก็บภาษีศุลกากรของ Donald Trump กลายเป็นตัวแปรหลักที่บีบให้นักวิเคราะห์ต้องทิ้งการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ไป โดยรัฐบาลกลางเยอรมนีอาจต้องเผชิญกับจะต้องภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่รอคอยพวกเขาอยู่ โดยในเวลานี้เห็นได้ชัดแล้วว่า รัฐบาลใหม่ของเยอรมนี ภายใต้นาย Friedrich Merz พรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) อาจไม่สามารถพึ่งพาการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงจากแพ็คเกจหนี้ เพื่อ (1) การลงทุนในการป้องกันประเทศ และ (2) โครงสร้างพื้นฐาน ที่รัฐสภาพได้อนุมัติไปก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว โดยพันธมิตรในอนาคตจะต้องเผชิญกับภารกิจ 3 ประการ คือ (1) จะต้องขจัดความไม่ชัดเจนทันที (2) จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น และ (3) จะต้องปกป้องศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศเยอรมันไม่ให้หดตัวในระยะกลาง

 

  1. เรื่องที่ต้องเร่งกำจัดในทันที คือ ความไม่ชัดเจนต่าง ๆ อาทิ ภาษีศุลกากร

เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาได้ว่า ในขณะนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีในช่วง 8 เดือนที่เหลือของปีนี้ จะเป็นอย่างไร หนึ่งในปัญหาหลักก็คือ นโยบายภาษีศุลกากรของ Trump แม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้ระงับการขึ้นภาษีศุลกากรแก่สินค้านำเข้าทั้งหมดจากสหภาพยุโรป (EU) ไว้ก่อนก็ตาม แต่ภาษีศุลกากรขั้นพื้นฐาน 10% ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ เช่นเดียวกับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรพิเศษสำหรับสินค้ากลุ่มเหล็ก อลูมิเนียม และรถยนต์ ซึ่งตามความเห็นของในรัฐบาล ถือเป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับการคาดการณ์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่เช่นกัน โดยคาดว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่เพียงแต่แย่ลงเนื่องจากอัตราภาษีพื้นฐานและพิจารณาถึงความกังวลใจของภาคเอกชนแล้วเรียกได้ว่า บริษัทของเยอรมันมีความกังวลค่อนข้างมากต่อความไม่แน่นอนในการตัดสินใจก้าวต่อไปของ Trump จึงทำให้พวกเขาต้องเลื่อนการลงทุนออกไป เพราะหาก Trump กลับมาเดินหน้าขึ้นภาษีศุลกากรกับ EU เป็น 20% การเติบโตของ GDP อาจเลวร้ายยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ และตามตัวเลขการคำนวณของสถาบันเศรษฐกิจโลก (Ifw – Institut für Weltwirtschaft) ที่ตั้งอยู่ในเมือง Kiel และสถาบันเพื่อการวิจัยเศรษฐกิจแห่งมหาวิทยาลัยมิวนิค (Ifo – Institut für Wirtschaftsforschung an der Universität München) พบว่า ภาษีศุลกากรเต็มรูปแบบอาจทำให้การเติบโตของ GDP ลดลง 0.3% ในปีนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า เยอรมนีจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 13,000 ล้านยูโร ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปได้ที่เศรษฐกิจเยอรมนีอาจหดตัวอีกครั้งในปีนี้ โดยในปี 2024 ค่า GDP ของประเทศลดลงไปแล้ว 0.2%

  1. ในระยะสั้นน่าจะมีความหวังเล็ก ๆ ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

หลายฝ่ายหวังว่า ความไม่ชัดเจนข้างต้นจะลดลงหลังจากที่มีรัฐบาลชุดใหม่ เข้ามารับหน้าที่ ซึ่งทำให้มีความหวังว่า เศรษฐกิจของประเทศน่าจะฟื้นตัวเล็กน้อยในปี 2026 เนื่องจาก “แพ็กเกจหนี้” โดยน่าจะเริ่มแสดงผลอย่างชัดเจนมากขึ้นต่อไป โดยเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐสภาชุดเก่าได้ร่วมกันตัดสินใจนำค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศจาก Schuldenbremse (การรักษางบประมาณให้มีความสมดุลหรือ Balanced Budget Amendment) หากค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศสูงเกิน 1% ของ GDP นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งกองทุนพิเศษมูลค่า 500,000 ล้านยูโร สำหรับนำมาลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานและการปกป้องสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เป็นเรื่องใหม่มากที่รัฐจะสามารถสร้างหนี้ได้เอง ในอัตราสูงสุดที่ 0.35% ต่อปีของ GDP ของแต่ละรัฐอีกด้วย นอกจากนี้ การใช้จ่ายทางการทหารเพิ่มเติมน่าจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจได้เช่นกัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ จะเริ่มเห็นได้ชัดต่อไป แม้ว่า GDP ของเยอรมนีจะหดตัวในไตรมาส 4ของปี 2024 แต่ในรัฐต่างๆ ที่เป็นรัฐอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นจำนวนมาก อาทิ รัฐ Niedersachsen กลับเติบโต 1.4%, รัฐ Mecklenburg-Vorpommern เติบโต 1.1% และรัฐ Schleswig-Holstein เติบโตขึ้น 1.0% ด้านนาย Robert Lehmann นักวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของ Ifo กล่าวว่า “อุตสาหกรรมในภาคเหนือของประเทศกำลังแยกตัวออกจากการพัฒนาโดยรวมของเยอรมนี โดยการเติบโตของอุตสาหกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์มีบทบาทสำคัญในภูมิภาคนี้เป็นพิเศษ”

  1. ในระยะกลางความหวังที่เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งดูเหมือนจะเลือนลาง

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่า การสร้างหนี้เพิ่มเติมนี้จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอย่างยั่งยืนหรือไม่ ตัวบ่งชี้ที่สำคัญคือ “ศักยภาพในการเติบโต (Potential Growth)” โดยศักยภาพในการเติบโตเป็นบ่งชี้ถึงศักยภาพการเติบโตประจำปีเมื่อใช้กำลังการผลิตแบบปกติของประเทศ นั่นก็คือ สิ่งที่ระบบเศรษฐกิจสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก ใน MOU เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลของกลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรค CDU และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) และพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ได้แสดงให้เห็นว่า พวกเขาต้องการที่จะทำให้ “ศักยภาพในการเติบโตขยายตัวอีกครั้ง ให้สูงมากกว่า 1%” โดยในการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจถึงปี 2029 รัฐบาลกลางได้ประมาณการค่าดังกล่าวอีกครั้งแต่ยังไม่ทราบตัวเลขที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี เมื่ออ้างอิงจากการประมาณการครั้งก่อนในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป้าหมายของกลุ่มพันธมิตร CDU/CSU และ SPD ไม่น่าจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ โดยขณะนั้น รัฐบาลกลางได้ประเมินศักยภาพในการเติบโต (Potential Growth) ไว้ที่ต่ำสุดในปี 2025 แต่คาดว่า Potential Growth น่าจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 0.6% ภายในปี 2029 โดย think tank Dezernat Zukunft ได้คำนวณไว้ว่า มาตรการใน MOU เพื่อการจัดตั้งรัฐบาลจะสามารถเพิ่มศักยภาพได้อย่างไรบ้าง โดย Dezernat Zukunft เห็นว่า จะพื้นฐานดังกล่าว ภายในปี 2029 Potential Growth น่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% ในขณะที่ กลุ่มพันธมิตร CDU/CSU และ SPD ต้องการมากกว่านั้น “อย่างมีนัยสำคัญ” ขนาดที่นาง Monika Schnitzer หนึ่งในสภาผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจกล่าวว่า เป้าหมายด้าน Potential Growth ของ CDU/CSU และ SPD เป็นเป้าหมายที่มี “ความทะเยอทะยานมาจนเกินไป” นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า รัฐบาลกำลังประเมินศักยภาพในการเติบโต (Potential Growth) เกินจริงด้วยซ้ำ โดยรัฐบาลเยอรมันใช้วิธีการคำนวณที่ EU กำหนดเพื่อคำนวณศักยภาพในการเติบโต ซึ่งเป็นวิธีคำนวณที่มีการถกเถียงกันสูงมาก เหตุนี้เองสถาบันเศรษฐกิจชั้นนำทั้ง 5 สถาบัน จึงได้ปรับปรุงวิธีการคำนวณของตนเองขึ้นมา และคำนวณว่า Potential Growth มีแนวโน้มเติบโตได้น้องมาก โดยได้ตั้งค่าเฉลี่ย ในช่วงปี 2024 – 2029 ไว้ที่ 0.3% เท่านั้น นาย Oliver Holtemöller รองประธานสถาบัน Leibniz เพื่อการวิจัยทางเศรษฐกิจแห่งเมือง Halle (IWH – Leibniz-Institut für Wirtschaftsforschung Halle) อธิบายว่า “วิธีการของ EU ยังคงคำนึงถึงผลกำไรจากผลผลิตหลักนับตั้งแต่ปี 1980 ส่งผลให้เกิดความแตกต่างที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างการประมาณ Potential Growth โดยใช้วิธีของ EU และของสถาบันฯ นอกจากนี้ วิธีการคำนวณทั้ง 2 วิธี ยังแตกต่างกัน เมื่อพูดถึงคำถามว่า จะมีคนจำนวนเท่าใดที่จะมีส่วนร่วมในฐานะแรงงาน ด้วยเหตุนี้นาย Holtemöller ไม่มั่นใจว่า รัฐบาลจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้หรือไม่ การขยายตัวของ Potential Growth ถูกยับยั้งไว้ โดยการขาดแคลนแรงงานที่เพิ่มมากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นหลัก และแผนการของ CDU/CSU และ SPD ก็ไม่มีความชัดเจนเพียงพอในประเด็นด้านการจัดหาแรงงาน

 

จาก Handelsblatt 9 พฤษภาคม 2568

jaJapanese