ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การประกันภัยการเกษตรมีความสำคัญต่อเกษตรกรและสหกรณ์ แต่ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้บริการประกันภัยการเกษตรยังค่อนข้างต่ำ ตัวอย่างเช่น ธนาคาร Agribank ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำในภาคการเกษตร มียอดเงินกู้ที่ยังคงค้างชำระ (outstanding loans) มากกว่า 40 ล้านล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่นยางิถึง 17 ล้านล้านเวียดนามด่ง หรือประมาณ 667.93 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่มีลูกค้าเพียง 105 รายจาก 512 รายที่ได้รับความเสียหายจากพายุที่มีประกันภัย ซึ่งทำให้พบว่าเพียงแค่ร้อยละ 0.65 ของยอดเงินกู้ที่ยังคงค้างชำระของธนาคารเท่านั้นที่ได้รับการคุ้มครองจากการประกันภัย ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มอัตราการเข้าร่วมการประกันภัยในภาคการเกษตร เพื่อปกป้องเงินกู้และทรัพย์สินของเกษตรกรและสหกรณ์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น

นาย Le Duc Thinh ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเศรษฐกิจและการพัฒนาชนบทของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทเวียดนาม ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงการประกันภัยการเกษตรในราคาที่สามารถจ่ายได้ เนื่องจากรายได้จากการเกษตรยังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน การประกันภัยการเกษตรยังไม่ได้รับการใช้ประโยชน์เต็มที่ จึงจำเป็นต้องกระตุ้นให้มีการเข้าร่วมจากทั้งบุคคลและสหกรณ์มากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความดึงดูดและประสิทธิภาพของการประกันภัย รัฐบาลจึงได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังทบทวนและแก้ไขกฤษฎีกาเลขที่ 58/2018/NĐ-CP เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะการสนับสนุนผู้ผลิตทางการเกษตร เช่น เจ้าของฟาร์มและสหกรณ์ ที่มีส่วนสำคัญในการผลิตสินค้าเกษตรในระดับใหญ่ ซึ่งยังมีอัตราการสนับสนุนต่ำกว่าครัวเรือนยากจนและใกล้ยากจน

นาง Dinh Thi Hang ผู้อำนวยการสหกรณ์ฮาอันห์ (Ha Ninh) ในจังหวัดบั๊กกั่น (Bac Can) กล่าวว่า กฎระเบียบการประกันภัยการเกษตรปัจจุบันกำหนดให้โรงเรือน การฉีดวัคซีน และอาหารสำหรับปศุสัตว์ต้องชัดเจน แต่ข้อกำหนดเหล่านี้เหมาะสมเฉพาะกับสหกรณ์ที่เลี้ยงสัตว์ตามมาตรฐานความปลอดภัยและสุขอนามัยอาหาร ซึ่งทำให้มีอัตราการเข้าร่วมการประกันภัยการเกษตรต่ำ

ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวว่า อุปสรรคในการพัฒนาประกันภัยการเกษตรอีกประการหนึ่งคือ ค่าใช้จ่ายในการประเมินความเสียหายที่ซับซ้อน หากข้อมูลความเสียหายไม่แม่นยำ บริษัทประกันภัยอาจไม่มั่นใจในการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการจ่ายค่าชดเชย นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าร่วมประกันภัยการเกษตร จำเป็นต้องเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทประกันภัยและสถาบันการเงินในการดำเนินแพ็คเกจสินเชื่อประกันภัยเฉพาะ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกรและสหกรณ์ในการเข้าร่วมประกันภัย

(แหล่งที่มา https://vietnamnews.vn/ ฉบับวันที่ 30 ธันวาคม 2567)

วิเคราะห์ผลกระทบ

ในปี 2567 อัตราการเติบโตของ GDP เวียดนามในภาคเกษตรกรรมอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของรัฐบาลที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 3 – 3.2 ภาคเกษตรกรรมยังคงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกในภาคการเกษตร การป่าไม้ และประมงมีมูลค่า 62,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำให้เวียดนามมีเกินดุลการค้า 17,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของภาคเกษตรกรรมในการสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรส่วนใหญ่ที่ยังคงพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรเป็นหลัก

เมื่อปี 2554 รัฐบาลเวียดนามได้ออก Decision 315/QĐ-TTg เพื่อส่งเสริมการประกันภัยการเกษตร โดยเริ่มนำร่องในหลายท้องถิ่นและครอบคลุมพืชผลและปศุสัตว์ที่สำคัญ เช่น ข้าว โค สัตว์ปีก และอาหารทะเล ซึ่งถือเป็นสินค้าหลักในเศรษฐกิจการเกษตร รัฐบาลได้จัดสรรเงินอุดหนุนเบี้ยประกันภัยให้แก่เกษตรกร โดยการสนับสนุนเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ร้อยละ 20 ถึงร้อยละ 100 หรือแม้กระทั่งการทำประกันภัยฟรี ขึ้นอยู่กับประเภทของเกษตรกร (เกษตรกรยากจน เกษตรกรเกือบยากจน และเกษตรกรทั่วไป) อย่างไรก็ตาม การดำเนินการโครงการประกันภัยการเกษตรในช่วงแรกประสบปัญหาหลายประการ ทั้งในด้านขั้นตอนการดำเนินงานและกลไกการติดตามผลที่ไม่ชัดเจน รวมถึงขอบเขตการสมัครเข้าร่วมโครงการยังคงจำกัดและมุ่งเน้นเฉพาะบางจังหวัดและเมือง ซึ่งทำให้เกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ จำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการประกันภัยได้ นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้คัดเลือกเพียงไม่กี่บริษัท เช่น บริษัท Bao Viet และ Bao Minh รวมถึงบริษัทประกันภัยอื่น ๆ อีกไม่กี่แห่ง ให้เข้าร่วมในโครงการนำร่องเพื่อให้บริการประกันภัยทางการเกษตร

เกษตรกรส่วนใหญ่ในเวียดนามมีรายได้ต่ำ การจ่ายเบี้ยประกันภัยจึงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ หรือเมื่อเกษตรกรไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนจากการทำประกันภัย ทั้งในระยะสั้นหรือระยะยาว อย่างไรก็ตาม ประกันภัยการเกษตรเริ่มมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นในเวียดนาม โดยเฉพาะหลังจากที่พายุไต้ฝุ่นยางิได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจและผลผลิตทางการเกษตรปัจจุบัน รัฐบาลเวียดนามได้ดำเนินโครงการประกันภัยการเกษตรด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการประกันภัยมากขึ้น และในอนาคตคาดว่า การประกันภัยการเกษตรจะได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่ชนบทที่พึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

ภาคการเกษตรกรรมเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ภัยธรรมชาติ โรคระบาด และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่เกษตรกรไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ การมีระบบประกันภัยที่ครอบคลุมสามารถช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของเกษตรกรในยามที่ประสบความเสียหายจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้ เมื่อเกษตรกรเห็นว่าทรัพย์สินและผลผลิตของตนได้รับการคุ้มครองจากประกันภัย พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจในการพัฒนาการเกษตรและการเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการประกันภัยการเกษตรเพิ่มสูงขึ้น

การเติบโตของตลาดประกันภัยการเกษตรยังช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เช่น การนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตร ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนไทยในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและประกันภัยการเกษตรในเวียดนาม ด้วยการพัฒนาการประกันภัยการเกษตรให้แข็งแกร่งขึ้นจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาตลาดประกันภัยโดยรวมของเวียดนาม ในอนาคต บริษัทประกันภัยหลายแห่งจะร่วมพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยการเกษตรที่หลากหลาย พร้อมทั้งขยายช่องทางการจำหน่ายและกระจายผลิตภัณฑ์ให้เข้าถึงได้มากขึ้น ซึ่งจะสร้างสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่ดีระหว่างบริษัทประกันภัย ทำให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงบริการประกันภัยได้ง่ายขึ้นและมีความมั่นคงในการดำเนินงานเกษตรกรรมมากยิ่งขึ้น

de_DEGerman