thumbnail_Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Mark of certification awarded by the Ministry of Commerce, the Royal Thai Government to guarantee the authentic Thaitaste of Thai food products.

thumbnail_Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

A symbol of excellence and trusted quality that was established to add distinctive value.

thumbnail_DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

Thailand's most prestigious award given in recognition of outstanding Thai-design products.

thumbnail_output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

Prime Minister’s Export Award is an honorable accolade to the country’s outstanding exporters

medium_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

small_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

thumbnail_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

ประเด็นร้อน (Hot Topics)

เมื่อวันพุธที่&nbsp;9 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประกาศอัตราจัดเก็บภาษีนำเข้าทองแดงที่อัตราร้อยละ&nbsp;50 โดยจะเริ่มจัดเก็บในวันที่&nbsp;1 สิงหาคม&nbsp;2568 หลังจากได้รับรายงานการประเมินความมั่นคงแห่งชาติ ที่ได้ผลสรุปว่าการจัดเก็บภาษีดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อส่งเสริมการผลิตทองแดงภายในประเทศและปกป้องการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญในหลายอุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทองแดงเป็นวัสดุที่ใช้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ การบินและอวกาศ กระสุน ศูนย์ข้อมูล แบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออน ระบบเรดาร์ การป้องกันขีปนาวุธ และอาวุธความเร็วเหนือเสียง เป็นต้น<a href="#_ftn1" name="_ftnref1" title="">[1]</a>&nbsp;หลังจากการประกาศล่าสุดของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ราคาทองแดงในตลาดโลกพุ่งขึ้นร้อยละ2.62 และอยู่ที่ 5.6 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ปอนด์ ต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้าที่ราคาพุ่งขึ้นมาแล้วถึงร้อยละ&nbsp;13.12&nbsp;ซึ่งถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบวันนับตั้งแต่ปี 2532 โดยในส่วนของตลาดสหรัฐอเมริกา ราคาทองแดงได้ปรับเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 25 ตั้งแต่ต้นเดือนต้นเดือนมกราคม - วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ซึ่งราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลจากการคาดการณ์อัตราภาษีที่จะเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 25โดยประเทศที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าทองแดงของสหรัฐอเมริกามากที่สุด ได้แก่ ชิลี แคนาดา และเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตทองแดงและผลิตภัณฑ์ทองแดงรายใหญ่ที่สุดให้กับสหรัฐอเมริกา ตามข้อมูลจากสำนักงานสถิติของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2567 ทั้งนี้ การเพิ่มการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของชิลี&nbsp;ในแง่ของรายได้ที่ลดลงจากการส่งออกทองแดง ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญลำดับที่ 2 รองจากจีน ซึ่งหลังจากการประกาศดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของชิลี (นายอัลแบร์โต ฟาน คลาเวเรน) กล่าวในการแถลงข่าวว่า ชิลียังคงแสวงหาตลาดใหม่สำหรับทองแดงต่อไป ในขณะที่ประธานาธิบดีกาเบรียล บอริช กล่าวว่ายังไม่ได้รับข้อมูลจากสหรัฐอเมริกา และเรียกร้องให้มีการสื่อสารอย่างเป็นทางการ&nbsp;บทวิเคราะห์/ ข้อคิดเห็นจาก สคต. ณ กรุงซันติอาโกสคต.ฯ คาดว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีดังกล่าวทำให้ชิลีเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด &nbsp;เนื่องจากชิลีเป็นประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาที่สหรัฐอเมริกานำเข้าทองแดงมากที่สุด ประมาณร้อยละ 70 ของทองแดงที่นำเข้าทั้งหมด หรือคิดเป็นปริมาณที่&nbsp;646,000&nbsp;เมตริกตัน ในปี 2567&nbsp;อย่างไรก็ดี นักวิชาการจากหลายสำนักได้ประเมินว่า ชิลี แคนาดา และเม็กซิโก จะได้รับการพิจารณาจัดเก็บภาษีทองแดงที่อัตราร้อยละ 25 ในที่สุด เนื่องจากการผลิตสินค้าหลายชนิด จำเป็นต้องใช้ทองแดงเป็นวัตถุดิบ ซึ่งสคต.ฯ เห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลชิลีจะขอเจรจากับสหรัฐอเมริกาในประเด็นดังกล่าว เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าวความวิตกกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ส่งผลกระทบให้เกิดการบิดเบือนอุปสงค์และอุปทานทองแดงในตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีการนำเข้าทองแดงแล้วคิดเป็นปริมาณที่&nbsp;881,000 เมตริกตัน ในขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศมีเพียง 441,000 เมตริกตัน ส่งผลให้มีจำนวนทองแดงส่วนเกินมากถึง&nbsp;&nbsp;440,000 เมตริกตัน&nbsp;ซึ่งปริมาณทองแดงส่วนเกินอาจส่งผลให้เกิดอุปทานส่วนเกิน และทำให้ราคาทองแดงลดลง ทั้งนี้ หากสหรัฐอเมริกาบังคับใช้มาตรการภาษีต่อสินค้าทองแดงในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 สคต.ฯ จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานทองแดงในตลาดโลก สคต.ฯ คาดว่ามาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาอาจส่งผลกระทบต่อชิลีในประเด็น ดังต่อไปนี้&nbsp;1) รายได้จากการส่งออก: ชิลีอาจเผชิญกับความผันผวนของรายได้จากการส่งออกทองแดง หากการจัดเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา ทำให้ราคาทองแดงที่นำเข้าจากชิลีมีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้มีความต้องการของผู้นำเข้าทองแดงจากชิลีลดลง และหันไปใช้ทองแดงจากแหล่งการผลิตภายในประเทศแทน&nbsp;2) การปรับเปลี่ยนตลาด: เนื่องจากภาษีศุลกากรอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ชิลีอาจจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การส่งออก ซึ่งอาจรวมถึงการกำหนดเป้าหมายไปยังตลาดอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรน้อยกว่า หรือการหาผู้ซื้อรายใหม่ในประเทศที่ยังต้องการทองแดงอยู่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกา3) การเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน: การผลิตทองแดงเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจชิลี มีส่วนสนับสนุนการจ้างงานและ&nbsp;GDP เป็นอย่างมาก ความผันผวนของราคาทองแดงอันเนื่องมาจากภาษีศุลกากรอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงด้านการจ้างงานภายในประเทศ4) ภาคการลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่: เมื่อกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นแต่ส่งออกได้ลดลง ชิลีอาจพิจารณาชะลอกำลังการผลิตและการลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ เพื่อป้องกันปัญหาสินค้าล้นตลาด รวมถึงบริษัทฯ สัญชาติอเมริกันที่ลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของชิลีอาจพิจารณา ย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากนโยบายกระตุ้นการผลิตสินค้าและการจ้างงานภายในประเทศของสหรัฐอเมริกา<a href="#_ftn1" name="_ftnref1" title="">[1]</a>&nbsp;สคต.ฯ เห็นว่า หากชิลีได้รับผลกระทบในเชิงลบจากมาตรการภาษีนำเข้าทองแดง และสินค้าหลักอื่น ๆ&nbsp;อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทย เนื่องจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของชิลี มีการจ้างงานคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3 ของการจ้างงานทั้งหมด หากรายได้จากการส่งออกสินค้าหลักลดลง เช่น ทองแดง สินค้าเกษตรกรรม และไม้แปรรูป อาจส่งผลให้เศรษฐกิจของชิลีชะลอตัว และส่งผลกระทบต่ออำนาจการใช้จ่ายของประชาชนในภาพรวม อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่เฉพาะสินค้าในกลุ่มทองแดงเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบ ในวาระอันใกล้ชิลีอาจต้องเผชิญกับกำแพงภาษีใหม่ในกลุ่มสินค้า การเกษตรกรรม และไม้แปรรูปด้วยเช่นกัน&nbsp;______________________________สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงซันติอาโก&nbsp;กรกฎาคม&nbsp;2568 &nbsp;<div><hr align="left" size="1" width="33%"><div id="ftn1"><a href="#_ftnref1" name="_ftn1" title="">[1]</a> https://www.whitehouse.gov/articles/2025/03/president-trump-is-putting-american-workers-first-and-bringing-back-american-manufacturing/</div></div> &nbsp;<div><hr align="left" size="1" width="33%"><div id="ftn1"><a href="#_ftnref1" name="_ftn1" title="">[1]</a> https://tradingeconomics.com/commodity/copper</div></div>

ชิลี

USA announced 50% Tariff on Copper.pdf

medium_trump-tariffs-set-to-reshape-global-copper-landscape-shifting-trade-dynamics.jpg

small_trump-tariffs-set-to-reshape-global-copper-landscape-shifting-trade-dynamics.jpg

thumbnail_trump-tariffs-set-to-reshape-global-copper-landscape-shifting-trade-dynamics.jpg

trump-tariffs-set-to-reshape-global-copper-landscape-shifting-trade-dynamics.jpg

สคต. ณ กรุงซันติอาโก (ชิลี)

 สหรัฐอเมริกาประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าทองแดง

เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

แคนาดา

thumbnail_Picture1.jpg

Picture1.jpg

สคต. ณ นครโทรอนโต (แคนาดา)

แนวโน้มผู้บริโภคในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของแคนาดาในปี 2568 

เยอรมนี

medium_Weekly News from Germany_20250711.jpg

small_Weekly News from Germany_20250711.jpg

thumbnail_Weekly News from Germany_20250711.jpg

Weekly News from Germany_20250711.jpg

สคต. ณ กรุงเบอร์ลิน (เยอรมนี)

เอกชนรอผลจากแผนผลักดันเศรษฐกิจของนายกคนใหม่

อิตาลี

ข่าวเด่นประจำเดือนกรกฎาคม 68 (ข่าวที่ 1).pdf

medium_Untitled design.png

small_Untitled design.png

thumbnail_Untitled design.png

Untitled design.png

สคต. ณ เมืองมิลาน (อิตาลี)

Thai SELECT ดันอาหารไทยบูมในอิตาลี เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ และผู้ชื่นชอบอาหารไทย ตบเท้าเข้าเรียนทำอาหารไทยคึกคัก

รัฐบาลเนเธอร์แลนด์จะร่วมลงทุนในศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI Center)&nbsp;แห่งเมือง Groningen โดยจะสนับสนุนการลงทุน 70 ล้านยูโร ซึ่งส่วนใหญ่มาจากงบประมาณของกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงกลาโหม เพื่อสร้างศูนย์กลางปัญญาประดิษฐ์ (AI Hub)&nbsp;แห่งใหญ่ในเมือง Groningen โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานในภูมิภาค Groningen ที่จะสนับสนุนการลงทุน 60 ล้านยูโร จากกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของ&nbsp;Groningen รวมเป็นมูลค่าการลงทุน 130 ล้านยูโร และหากคณะกรรมาธิการยุโรปตกลงที่จะสนับสนุนการลงทุนเพิ่มอีก 70 ล้านยูโรในช่วงปลายปีนี้ โรงงานปัญญาประดิษฐ์&nbsp;(AI Factory)&nbsp;ก็จะสามารถเริ่มต้นการก่อสร้างได้ในปี 2026 &nbsp;นาย Vincent Karremans&nbsp;รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจกล่าวว่า โครงการนี้นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของประเทศในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการให้บริการสาธารณะ และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีของเนเธอร์แลนด์ ปัญญาประดิษฐ์หรือ&nbsp;AI&nbsp;กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมโดยพื้นฐาน ซึ่งหากเนเธอร์แลนด์ไม่พัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเองก็จะต้องตกอยู่ในภาวะที่จะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากประเทศอื่นในอนาคต และนั่นคือเหตุผลที่เนเธอร์แลนด์ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ที่แข็งแกร่งของเนเธอร์แลนด์ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI Center) นี้จะรวบรวมและผสมผสานความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยเข้ากับสิ่งอำนวยความสะดวกในทางปฏิบัติสำหรับบริษัทเอกชน มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนา&nbsp;AI Applications นอกจากนี้ ที่ศูนย์ปัญญาประดิษฐ์แห่งนี้ยังจะมีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการฝึกอบรมโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขั้นสูงอีกด้วยหน่วยงานภาครัฐของเนเธอร์แลนด์จะมีบทบาทร่วมกันในการสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยกระทรวงกลาโหมเล็งเห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยี&nbsp;AI&nbsp;ในการประยุกต์ใช้เพื่อประเมินภัยคุกคามด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ และสนับสนุนการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ ในขณะเดียวกันรัฐบาลยังตระหนักว่า&nbsp;AI&nbsp;สามารถนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในหลายภาคส่วน อาทิ ระบบสาธารณสุข การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น สะพาน เขื่อน และโครงข่ายพลังงาน รวมถึงการยกระดับคุณภาพการให้บริการของภาครัฐโดยรวมในขณะที่ภาครัฐเร่งลงทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ ภาคเอกชนก็มีการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยล่าสุด บริษัท&nbsp;TomTom ผู้พัฒนาเทคโนโลยีนำทางชั้นนำของเนเธอร์แลนด์ที่มีฐานลูกค้าระดับโลก อาทิ&nbsp;Apple, Huawei&nbsp;และ Volkswagen แต่ปัจจุบันประสบกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้ประกาศจะปรับลดจำนวนพนักงานลง 300 ตำแหน่ง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของบริษัท โดยจะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในกระบวนการพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถดำเนินงานด้วยความยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถลดระยะเวลาในการสร้างสรรค์นวัตกรรม สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที รวมถึงสามารถช่วยปรับปรุงประสบการณ์ในการใช้ผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าของบริษัท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรมที่หันมาให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี&nbsp;AI&nbsp;แทนแรงงานในบางตำแหน่ง เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว<o:p></o:p>บทวิเคราะห์และความเห็น&nbsp;สคต.การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนของเนเธอร์แลนด์สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่สอดคล้องกันอย่างเป็นระบบในการเตรียมความพร้อมรับมือกับยุค AI โดยรัฐบาลมุ่งวางรากฐานผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระดับประเทศ ขณะที่ภาคธุรกิจเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างจริงจัง ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า&nbsp;AI&nbsp;กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ในอนาคตอันใกล้การที่เนเธอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ยังสะท้อนถึงแนวโน้มการยกระดับมาตรฐานการผลิตและการให้บริการในตลาดยุโรป โดยเน้นที่ความแม่นยำ ความรวดเร็ว และประสิทธิภาพ ซึ่งเกิดจากการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติอัจฉริยะมาใช้อย่างแพร่หลาย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงส่งผลต่อโครงสร้างแรงงานภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อห่วงโซ่มูลค่าทางธุรกิจในระดับสากล ซึ่งหมายความว่าประเทศคู่ค้าจำเป็นต้องปรับตัวทั้งในมิติของเทคโนโลยีและมิติเรื่องแรงงาน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคส่วนที่ยังพึ่งพากระบวนการผลิตที่ใช้แรงงานอย่างเข้มข้น หรือยังไม่มีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในระดับที่เพียงพอ อาจต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและ จากการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นในตลาด ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรต้องศึกษา ให้ความสำคัญกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึง&nbsp;AI ปรับตัวและปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ เพื่อที่จะสามารถยกระดับการพัฒนาสินค้าและการให้บริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพื่อสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในเวทีการค้าระหว่างประเทศ&nbsp;สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเฮก

เนเธอร์แลนด์

medium_ai photo news.jpg

small_ai photo news.jpg

thumbnail_ai photo news.jpg

ai photo news.jpg

สคต. ณ กรุงเฮก (เนเธอร์แลนด์)

เนเธอร์แลนด์มุ่งสู่อนาคตด้วย AI :  รัฐบาลร่วมลงทุนจัดตั้ง AI  Center ที่เมือง Groningen 

ในสังคมปัจจุบัน&nbsp;สัตว์เลี้ยงไม่ได้เป็นเพียงแค่สัตว์อีกต่อไป แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว &nbsp;เป็นเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างในยามเหงา&nbsp;เมื่อสิ่งมีชีวิตอันเป็นที่รักจากไป การจัดพิธีศพจึงกลายเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักและความผูกพันระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงในวาระสุดท้าย และได้ก่อให้เกิด “อุตสาหกรรมพิธีศพสัตว์เลี้ยง” ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว&nbsp;จากการสำรวจและวิจัยของ&nbsp;market.us&nbsp;ระบุว่า ในปี&nbsp;2024 ตลาดพิธีศพสัตว์เลี้ยงทั่วโลกมีมูลค่าถึง 1,700&nbsp;ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจนแตะ 3,200&nbsp;ล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ในปี&nbsp;2030&nbsp;ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีร้อยละ&nbsp;9.1&nbsp;นอกจากนี้ ข้อมูลจาก&nbsp;Grand View Research&nbsp;ยังได้ระบุว่า&nbsp;ตลาดบริการจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยงใน “จีน” กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2024 มีมูลค่าตลาดกว่า 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นเป็น 187.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 12.1 นับว่าเป็นแรงขับเคลื่อนหลักและเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_294bc9370d.png" width="522" height="297" v:shapes="_x0000_i1025" uploadprocessed="true" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_294bc9370d.png 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_294bc9370d.png 500w" sizes="100vw">แหล่งข้อมูล: grand view research&nbsp;ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยง โกศเก็บกระดูกและโลงศพมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุชีวภาพย่อยสลายได้ มีคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ส่งผลให้ความต้องการในการจัดพิธีศพแบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น หลายคนเลือกที่จะผสมเถ้ากระดูกของสัตว์เลี้ยงกับดินเพื่อนำไปปลูกต้นไม้ที่ระลึก เพื่อให้สัตว์เลี้ยงกลับคืนสู่ธรรมชาติในอีกหนึ่งรูปแบบ&nbsp;<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_ded72e0a7c.png" width="487" height="172" v:shapes="_x0000_i1026" uploadprocessed="true" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_ded72e0a7c.png 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_ded72e0a7c.png 500w" sizes="100vw">&nbsp;ผลิตภัณฑ์และบริการจัดพิธีศพไม่เพียงต้องตอบโจทย์ด้านฟังก์ชันเท่านั้น แต่ยังต้องมอบการเยียวยาทางจิตใจด้วยเช่นกัน อาทิ ของที่ระลึกแบบสั่งทำพิเศษ โกศเก็บกระดูกที่มีเอกลักษณ์ พิธีศพแบบรักษ์โลก เป็นต้น จะช่วยให้เจ้าของสามารถหาที่พึ่งทางใจหลังจากการสูญเสียสัตว์เลี้ยงได้เมื่อผู้บริโภคตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและมีความต้องการที่หลากหลายขึ้น ในอนาคต ตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยงจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง พิธีศพแบบรักษ์โลก บริการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะจากเถ้ากระดูกสัตว์เลี้ยง ตลอดจนบริการรำลึกถึงสัตว์เลี้ยงในรูปแบบดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จะกลายเป็นแนวโน้มใหม่ของอุตสาหกรรมนี้&nbsp;ผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทย และแนวทางการปรับตัวของภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการไทยผลิตภัณฑ์และบริการจัดพิธีศพสัตว์เลี้ยง นับว่าเป็นตลาด&nbsp;Blue Ocean&nbsp;ที่น่าจับตามองในจีน เนื่องจากผู้บริโภคในกลุ่ม&nbsp;Pet Parents นั้นมีกำลังซื้อสูงและพร้อมที่จะจ่าย นอกจากจะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ของผู้ประกอบการไทยแล้ว&nbsp;ยังเป็นโอกาสในการสร้าง “Soft Power”&nbsp;ผ่านสินค้าหัตถกรรมไทยที่มีคุณค่า ถ่ายทอดความประณีตและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสู่สายตาผู้บริโภคจีนที่ต้องการสิ่งที่ตอบโจทย์ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีจุดแข็งด้านการผลิตสินค้าหัตถกรรมคุณภาพสูง งานไม้ งานโลหะ งานเซรามิก และงานเครื่องประดับ สามารถต่อยอดเข้าสู่ตลาดพิธีศพสัตว์เลี้ยงจีนได้ทันทีนอกจากนี้&nbsp;ไทยยังสามารถใช้ ช่องทางการค้าออนไลน์ผ่าน Cross-border E-commerce&nbsp;และ Social Commerce&nbsp;ในจีนที่กำลังเติบโต หรือใช้โอกาสเขตเศรษฐกิจพิเศษ&nbsp;Greater Bay Area (GBA) &nbsp;ในการเป็นศูนย์กระจายสินค้าเข้าสู่ตลาดจีนตอนใต้ โดยใช้ประโยชน์จากความตกลง&nbsp;FTA&nbsp;ไทย-จีน และ&nbsp;RCEP เพื่อลดต้นทุนภาษี ทำให้สินค้าไทยมีความสามารถในการแข่งขันและทำราคาได้สอดคล้องกับตลาดเป้าหมายกลยุทธ์ภาครัฐและเอกชนไทยในการบุกตลาดจีน ดังนี้1.&nbsp;พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงมาตรฐานจีน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการใช้งาน เช่น&nbsp;โกศเก็บกระดูกและโลงศพย่อยสลายได้ เครื่องประดับใช้วัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้2.&nbsp;สร้างเรื่องราวสินค้า (Emotional Marketing)&nbsp;เช่น ความรัก ความทรงจำ ความผูกพัน ที่สื่อถึงความเป็นครอบครัวของสัตว์เลี้ยงเพื่อดึงดูดคนจีนที่ใส่ใจเรื่องความรู้สึก3.&nbsp;พัฒนาบรรจุภัณฑ์และการขนส่ง ให้สามารถส่งสินค้าผ่าน E-commerce ได้โดยไม่แตกหักง่าย ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์เพื่อสร้างภาพลักษณ์&nbsp;Eco Brand4.&nbsp;สร้างความร่วมมือกับผู้นำเข้าจีน เพื่อกระจายสินค้าเข้าร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยงและคลินิกสัตวแพทย์ที่จัดพิธีศพสัตว์เลี้ยงในจีน5.&nbsp;ร่วมงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องในจีน เช่น งาน&nbsp;Pet Fair Asia&nbsp;งาน China International Import Expo (CIIE)&nbsp;เพื่อแสดงศักยภาพสินค้าพิธีศพสัตว์เลี้ยงไทย6.&nbsp;ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก เช่น “Urn from Thailand” “Thai Memorial Art”&nbsp;เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความแตกต่างจากคู่แข่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;แหล่งข้อมูล&nbsp;:&nbsp;https://mp.weixin.qq.com/s/BNVMiF0SxxAPc3VODVuqRA&nbsp;จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองกวางโจว11 กรกฎาคม&nbsp;2568

จีน

medium_ตลาดพิธีศพสัตว์เลี้ยงจีนโตแรง.jpg

small_ตลาดพิธีศพสัตว์เลี้ยงจีนโตแรง.jpg

thumbnail_ตลาดพิธีศพสัตว์เลี้ยงจีนโตแรง.jpg

ตลาดพิธีศพสัตว์เลี้ยงจีนโตแรง.jpg

สคต. ณ เมืองกวางโจว (จีน)

ตลาด “พิธีศพสัตว์เลี้ยง” จีนโตแรง ตีโจทย์เทรนด์รักษ์โลก-ความผูกพัน

แม้ว่าวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 จะครบกำหนด 90&nbsp;วันที่สหรัฐอเมริกาชะลอการเก็บภาษี Reciprocal tariff&nbsp;กับสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลกที่ส่งไปยังสหรัฐฯ โดยในช่วง 90 วันที่ผ่านมาสินค้าจากทุกประเทศจะถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราร้อยละ 10 ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศคู่ค้าต่างๆมีเวลาในการเจรจาต่อรองในข้อตกลงทางการค้าร่วมกันเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรในอัตราที่สูง ตามที่สหรัฐฯกำหนดไว้ในวันที่ 9 เมษายน 2568 หรือสูงกว่า โดยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯบรรลุข้อตกลงเพียง 3 ประเทศ (หนึ่งในสามคือเวียดนามที่สินค้าจะต้องจ่ายภาษีขั้นต่ำที่ร้อยละ 20 รายละเอียดอื่นๆยังไม่ได้รับการเปิดเผย)&nbsp;<img class="image_resized" style="aspect-ratio:255/267;width:31.91%;" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_6dca022489.png" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_6dca022489.png 149w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_6dca022489.png 476w" sizes="100vw" width="255" height="267" align="left" hspace="12" v:shapes="Picture_x0020_1" uploadprocessed="true">อย่างไรก็ตาม นาย โดนัล ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ขยายเวลาในการเรียกเก็บภาษี Reciprocal tariff ออกไปจนถึงวันที่&nbsp;1 สิงหาคม&nbsp;2568 เพื่อให้แต่ละประเทศที่ยังไม่ได้เจรจากับสหรัฐฯ ในช่วง 90 วันที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้เจรจาต่อรองในข้อตกลงร่วมกันกับสหรัฐฯ ต่อไป&nbsp;หากครบกำหนด 1 สิงหาคม 2568 สินค้าจากทุกประเทศที่ส่งไปยังสหรัฐฯต้องจ่ายภาษีเพิ่มในอัตราสูงซึ่งอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อในตลาดโลกและเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการถดถอยสำหรับการส่งออกสินค้าออสเตรเลียส่วนใหญ่ถูกเรียกเก็บภาษี Reciprocal tariff ในอัตราร้อยละ 10 ซึ่งเป็นอัตราขั้นพื้นฐานต่ำสุด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากออสเตรเลียขาดดุลการค้าสหรัฐฯมาโดยตลอด โดยมีสินค้าบางรายการถูกเรียกภาษีในอัตราสูงและบางรายการได้รับข้อยกเว้น ดังนี้<ol style="list-style-type:decimal;"><li>สินค้าที่ถูกเรียกภาษีในอัตราสูง ได้แก่<ul style="list-style-type:square;"><li>สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่ส่งออกไปสหรัฐฯจะถูกภาษีนำเข้าร้อยละ 50 เริ่ม 4 มิถุนายน 2568 (เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 ในเดือนมีนาคม 2568) ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์บางประเภทที่มีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ บังคับใช้ตามมาตรา&nbsp;232&nbsp;ภายใต้พระราชบัญญัติ Trade Expansion Act 1962 เนื่องจากมีผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ</li><li>สินค้ารถยนต์ รถบรรทุกขนาดเล็ก (Light trucks) และชิ้นส่วนยานยนต์บางประเภทต้องเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 25&nbsp;บังคับใช้ตามมาตรา&nbsp;232&nbsp;ภายใต้พระราชบัญญัติ Trade Expansion Act 1962&nbsp;</li></ul></li><li>สินค้าบางรายการที่ได้รับการยกเว้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยกเว้นจากภาษีนำเข้าใหม่ ได้แก่<ul style="list-style-type:square;"><li>ผลิตภัณฑ์พลังงานบางประเภท เหรียญและทองคำแท่ง</li><li>ผลิตภัณฑ์บางประเภทจัดอยู่ในบัญชีรายการสินค้าที่ได้รับการยกเว้นในช่วงที่สหรัฐฯ ดำเนินการตรวจสอบการนำเข้าสินค้าเฉพาะในบางสาขา&nbsp;โดยสหรัฐอเมริกาเริ่มการตรวจสอบการนำเข้าสินค้าบางรายการภายใต้พระราชบัญญัติ Trade Expansion Act 1962&nbsp;เพื่อประเมินผลกระทบของการนำเข้าสินค้าที่มีผลต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ดังนี้- สินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้รวมถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์บางประเภท- ผลิตภัณฑ์ทองแดงและผลิตภัณฑ์อนุพันธ์บางประเภท- สินค้า Semiconductors อุปกรณ์การผลิต&nbsp;Semiconductor&nbsp;และผลิตภัณฑ์อนุพันธ์บางประเภท (เช่น โทรศัพท์ Smartphones&nbsp;และ&nbsp;Laptops)-&nbsp;ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมบางประเภท-&nbsp;แร่สำคัญบางประเภทและผลิตภัณฑ์อนุพันธ์-&nbsp;รถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่และชิ้นส่วนรถบรรทุกที่เกี่ยวข้อง</li></ul></li></ol>ความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและสหรัฐฯตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเริ่มตึงเครียดมากขึ้นหลังนาย Anthony Albanese&nbsp;นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียยืนยันว่าสินค้าออสเตรเลียที่ส่งไปยังสหรัฐฯไม่ควรมีภาษีนำเข้าร้อยละ 10 แต่ควรมีภาษีเป็นศูนย์ ในขณะเดียวกัน&nbsp;รัฐบาลออสเตรเลียได้วิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการการค้าของสหรัฐฯ ต่อผู้ส่งออกออสเตรเลียว่าจะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาคส่วนรวมถึงผลกระทบต่อผู้ส่งออกแต่ละรายที่แตกต่างกัน พร้อมเสนอแนะให้ผู้ส่งออกออสเตรเลียตระหนักถึงผลกระทบต่ออัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐสำหรับภาคธุรกิจออสเตรเลียที่ผลิตสินค้าในต่างประเทศและมีอัตราภาษี Reciprocal tariff ในอัตราที่สูงกว่า โดยแนะนำให้ผู้ส่งออกออสเตรเลียเฝ้าระวังและติดตามข้อมูลข่าวสารที่เป็นปัจจุบัน<img class="image_resized" style="aspect-ratio:337/184;width:48.21%;" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_31a9af2095.png" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_31a9af2095.png 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_31a9af2095.png 500w" sizes="100vw" width="337" height="184" align="left" hspace="12" v:shapes="_x0000_s1026" uploadprocessed="true">&nbsp;นอกจากนี้ คณะกรรมการการค้าและการลงทุนของออสเตรเลีย (Austrade) ให้ข้อมูลและคำแนะนำเฉพาะแก่ธุรกิจของออสเตรเลีย ผ่านชุดเครื่องมือ&nbsp;Go Global Toolkit ซึ่งแสดงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ – การสนับสนุนสำหรับธุรกิจของออสเตรเลีย&nbsp;ซึ่งรวมถึงการจัดทำ Webinars&nbsp;เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงภาษีนำเข้า พร้อมส่งเสริมให้ผู้ส่งออกของออสเตรเลียขอรับคำแนะนำเป็นรายกรณี รวมถึงการติดต่อกับนายหน้าศุลกากรที่ได้รับใบอนุญาตหรือติดต่อหน่วยศุลกากรและการป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ สำหรับคำถามที่เฉพาะเจาะจง และการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีออสเตรเลีย-สหรัฐอเมริกา (AUSFTA) ที่ยังมีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่&nbsp;.................................................................................................................................................สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์&nbsp;ที่มา:www.dfat.gov.au/ www.abc.net.au/ www.thequardian.com&nbsp;

ออสเตรเลีย

thumbnail_Screenshot 2025-02-14 160806.png

Screenshot 2025-02-14 160806.png

สคต. ณ นครซิดนีย์ (ออสเตรเลีย)

ส่องสถานการณ์หลัง Reciprocal tariff ครบกำหนด 90 วัน

สหรัฐอเมริกาประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาทุกประเภทในอัตรา 36% (ลดลงจากเดิม&nbsp;49%) โดยมีผลตั้งแต่วันที่&nbsp;1 สิงหาคม&nbsp;2025&nbsp;&nbsp;ในจดหมายอย่างเป็นทางการจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถึง สมเด็จฯ ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่า การเก็บภาษีครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าอย่างต่อเนื่องระหว่างสองประเทศ ซึ่งทรัมป์มองว่าไม่เป็นธรรมและเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯนอกจากนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ เตือนว่า หากกัมพูชาพยายามหลีกเลี่ยงภาษีโดยส่งสินค้าผ่านประเทศที่สาม จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นอีก และเสนอทางออกว่า บริษัทกัมพูชาสามารถย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี โดยรัฐบาลสหรัฐจะเร่งอนุมัติการลงทุนให้เร็วที่สุดนาย&nbsp;Sun Chanthol รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แถลงข่าวว่า กัมพูชาสามารถเจรจาลดอัตราภาษีลงได้ถึง 13% ถือเป็นการลดภาษีสูงสุดในบรรดา&nbsp;14 ประเทศที่ถูกปรับอัตราภาษี พร้อมย้ำว่า การเจรจายังไม่สิ้นสุด และยังมีโอกาสเจรจาลดภาษีได้อีกก่อน&nbsp;1 สิงหาคม&nbsp;2025ด้าน นาย Lor Vichet รองประธานสมาคมการค้าจีน-กัมพูชา (Cambodia Chinese Commerce Association : CCCA) ให้ความเห็นว่า แม้อัตรา&nbsp;36% จะยังสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพการส่งออกของกัมพูชาจะลดลง เพราะขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า โดยกัมพูชาส่งออกหลักไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้า สินค้าเดินทาง จักรยาน และยางรถยนต์ ซึ่งมีตลาดเฉพาะ รวมถึงปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ แรงงาน ต้นทุน และเวลาขนส่ง&nbsp;ทั้งนี้ ในจดหมายที่ส่งถึง&nbsp;14 ประเทศเมื่อวันที่&nbsp;7 กรกฎาคม&nbsp;2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้ทุกประเทศเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ และเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาวข้อมูลที่น่าสนใจ1. ข้อมูลการค้ากัมพูชา-สหรัฐฯ1.1. ปี 2024: มูลค่าการค้ารวม 10.18 พันล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 11.2%) โดยการส่งออกจากกัมพูชาคิดเป็น 9.9 พันล้านดอลลาร์&nbsp;1.2. 5 เดือนแรกปี 2025 (ม.ค.-พ.ค.) : มูลค่าการค้ารวม 4.48 พันล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 27%)2. ข้อมูลจาก&nbsp;USImportData.com ปี 2024 ระบุว่า กัมพูชาเป็นประเทศอันดับ 7 ที่ส่งออกสิ่งทอไปสหรัฐฯ รองจากจีน เวียดนาม อินเดีย บังกลาเทศ เม็กซิโก และอินโดนีเซีย3. สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับ 1 ของกัมพูชา (คิดเป็นราว 40% ของการส่งออกทั้งหมด)4. สินค้าหลักที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้า จักรยาน ยางรถยนต์ เป็นต้น&nbsp;ความเห็นของสำนักงานฯขณะนี้ กัมพูชาได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในอัตราที่สูง ถึง 36% คาดว่ากัมพูชาจะใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ที่เน้นเพิ่มมูลค่า (value-add) ปรับปรุงคุณภาพ แรงงาน และเทคโนโลยี มากขึ้น เพื่อรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งนี้ ในช่วงที่ข้อกำหนดทางภาษีฯ ของสหรัฐฯ ต่อกัมพูชายังมีความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการไทย&nbsp; อาจพิจารณาอย่างรอบด้านเกี่ยวกับการลงทุนในกัมพูชา ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ตั้งเป้าหมายตลาดส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เช่น กลุ่มเสื้อผ้า รองเท้า จักรยาน ยางรถยนต์ เป็นต้น___________________________________________________________________________ที่มา:&nbsp;Phnom Penh Post&nbsp;&amp; Khmer Timesกรกฎาคม 2568&nbsp;

กัมพูชา

07-10-25 กัมพูชา ยังมองบวกแม้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีฯ 36%.pdf

small_Industry.jpg

thumbnail_Industry.jpg

Industry.jpg

สคต. ณ กรุงพนมเปญ (กัมพูชา)

“กัมพูชา ยังมองบวกแม้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีฯ 36%”

ท่าอากาศยานนานาชาติเตโชจะเปิดให้บริการในวันที่ 9 กันยายน&nbsp;2568 ขณะที่ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญจะปิดในคืนวันที่ 8 กันยายน 2568เมื่อวันที่&nbsp;7 กรกฎาคม 2568 นาย&nbsp;Mao Havannall รัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักเลขาธิการการบินพลเรือนกัมพูชา พร้อมคณะทำงานด้านเทคนิค ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าโครงการและประชุมเตรียมความพร้อมก่อนเปิดใช้งานสนามบินเตโชนาย&nbsp;Sin Chanserey Vutha โฆษกสำนักงานฯ ระบุว่า โครงการก่อสร้างเสร็จแล้ว เหลือเพียงการทำความสะอาด ฝึกอบรม และงานเอกสาร โดยสำนักงานฯ จะออกใบรับรองการประกอบการท่าอากาศยานนานาชาติเตโชในวันที่&nbsp;31 กรกฎาคม&nbsp;2568ท่าอากาศยานเตโชได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน&nbsp;11 โครงสร้างสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่งที่สุดของโลก ด้วยแนวคิดการออกแบบที่สร้างสรรค์และยั่งยืน และจะเข้ามาแทนที่สนามบินพนมเปญเดิม โดยสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่าเดิมถึง&nbsp;6 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 กัมพูชามีผู้โดยสารทางอากาศทั้งในประเทศและระหว่างประเทศกว่า 3.65 ล้านคน เพิ่มขึ้น&nbsp;20% จากช่วงเดียวกันของปี&nbsp;2567 โดยประเทศต้นทางหลัก ได้แก่ จีน ไทย เวียดนาม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศยุโรปความเห็นของสำนักงานฯ<div style="border-bottom:1.0pt solid windowtext;border-left-style:none;border-right-style:none;border-top-style:none;padding:0cm 0cm 15.0pt;">1. ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจกัมพูชาอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพิ่มจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศ และเชื่อมต่อกัมพูชากับเมืองสำคัญทั่วโลกโดยตรง ด้วยมาตรฐานสนามบินระดับ&nbsp;4F ที่สามารถรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินขนาดใหญ่ได้มากขึ้น สนามบินแห่งนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจกัมพูชานอกจากนี้ ท่าอากาศยานเตโช ยังอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้การลงทุนในภาคธุรกิจ โรงแรม และบริการต่างๆ เติบโตยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่โดยรอบสนามบินอีกด้วย2. ในด้านการขนส่งสินค้า สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับเครื่องบินขนส่งสินค้าได้มากขึ้น ส่งผลให้การนำเข้าและส่งออกมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ยังช่วยผลักดันให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศในภูมิภาคอาเซียน ด้วย<div style="border-bottom:1.0pt solid windowtext;border-left-style:none;border-right-style:none;border-top-style:none;padding:0cm 0cm 15.0pt;">คาดว่า&nbsp;ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช จะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุน แข่งขันได้กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยและเวียดนาม ในการเชื่อมโยงประเทศสู่ตลาดโลกอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ ต่อไป</div>ที่มา:&nbsp;Fresh News &amp; Kampuchea Thmey Dailyกรกฎาคม 2568</div>

07-09-25 ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช เปิดให้บริการระยะแรก 9 กันยายนนี้.pdf

thumbnail_Airport.jpg

Airport.jpg

"ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช เปิดให้บริการระยะแรก 9 กันยายนนี้"

สิงคโปร์

25.07.07-11-สิงคโปร์เร่งขับเคลื่อนเทคโนโลยีเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ.pdf

small_1.png

thumbnail_1.png

1.png

สคต. ณ กรุงสิงคโปร์ (สิงคโปร์)

สิงคโปร์เร่งขับเคลื่อนเทคโนโลยีเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;สามสัปดาห์ต่อจากนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าและเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ โดยเกาหลีใต้อยู่ระหว่างการพยายามหาทางออกที่เป็นรูปธรรมในการเจรจาต่อรองเพื่อลดภาษีกับสหรัฐอเมริกา หลังจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ขยายเวลาการเริ่มเก็บภาษีออกไปเป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แม้ว่าเกาหลีใต้พยายามหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ส่งผลทันทีจากภาษีตอบโต้ 25% แต่รัฐบาลก็เตรียมเร่งการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อเจรจาขอให้ลดอัตราภาษีลง ซึ่งหากมีการบังคับใช้อัตราภาษีดังกล่าวตามที่ประกาศไว้ ก็จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออก ผู้เชี่ยวชาญต่างเรียกร้องให้รัฐบาลของประธานาธิบดีอีแจมยองใช้กลยุทธ์จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพื่อที่จะโน้มน้าวรัฐบาลวอชิงตัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทำเนียบขาวแถลงเมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2568 (ตามเวลาท้องถิ่น) ว่า ทรัมป์ได้ส่งจดหมายแจ้งอัตราภาษีของแต่ละประเทศถึงผู้นำของ&nbsp;14 ประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองประเทศกำลังเผชิญกับภาษีตอบโต้&nbsp;25% เนื้อหาบางส่วนในจดหมายที่ส่งถึงประธานาธิบดีอีแจมยองระบุว่า การจัดเก็บภาษีดังกล่าวมีความจำเป็นเพื่อแก้ไขนโยบายด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี รวมถึงอุปสรรคทางการค้าที่เกาหลีใต้ใช้มายาวนาน ซึ่งก่อให้เกิดการขาดดุลการค้าที่ไม่ยั่งยืนกับสหรัฐอเมริกาอย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้ส่งสัญญาณว่า อาจมีช่องทางให้เจรจาต่อรอง และให้สัมภาษณ์ กับผู้สื่อข่าวในเวลาต่อมาว่า อัตราภาษีดังกล่าวยังไม่เป็นที่แน่นอน&nbsp;100%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; นายชาง ซัง-ชิก ผู้อำนวยการสถาบันการค้าระหว่างประเทศแห่งสมาคมการค้าระหว่างประเทศเกาหลีใต้ (KITA) แนะนำให้รัฐบาลเกาหลีใต้พยายามลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อ สร้างความพึงพอใจให้ทรัมป์ด้วยการเพิ่มการนำเข้าพลังงาน และระบบป้องกันประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลควรวางแผนอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อส่งเสริมการนำเข้าสินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค และเครื่องจักรกลด้วย และควรพิจารณาลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อให้ทรัมป์สามารถนำไปอ้างเป็นผลสำเร็จได้ โดยมาตรการพิเศษ อาทิ การเพิ่มการซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากอลาสก้า และการพิจารณาแผนที่จะควบคุมการผูกขาดในตลาด ออนไลน์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นความต้องการจากฝั่งอเมริกา&nbsp; &nbsp;ท่ามกลางความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง นายคิม ยง-บอม หัวหน้าคณะทำงานด้านนโยบายของ ประธานาธิบดี ได้เรียกประชุมฉุกเฉินร่วมกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมกล่าวว่า รัฐบาลได้พยายามอย่างเต็มที่ในการเจรจาในระดับต่างๆ และตามเวทีต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรม นับตั้งแต่รัฐบาลชุดใหม่เริ่มเข้ารับตำแหน่งเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา แต่เวลาก็ยังไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม การปกป้องผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญกว่าการเร่งเจรจาในทันทีเมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม นายวี ซอง-ลัก ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติเกาหลีใต้ ได้พบกับที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ ที่กรุงวอชิงตัน เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งเกาหลีใต้เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมความคืบหน้าใน การเจรจาภาษีในวันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายยอ ฮัน-กู รัฐมนตรีการค้าเกาหลีใต้ได้พบกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นายเจมิสัน กรีเออร์ ที่กรุงวอชิงตัน และในวันจันทร์ได้เข้าพบกับรัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ โฮเวิร์ด ลุตนิก เพื่อย้ำอีกครั้งว่า การยกเว้นหรือการลดภาษีในบางภาคส่วน จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสุดท้าย ระหว่างสองประเทศกระทรวงการค้าของเกาหลียังได้เรียกตัวแทนจากบริษัทฮุนไดมอเตอร์, พอสโก และแอลจี เอเนอร์จี โซลูชัน เข้าร่วมการประชุมฉุกเฉินในกรุงโซลเมื่อวันอังคาร เพื่อหารือมาตรการรับมือกับภาษีของทรัมป์บทวิเคราะห์จากการที่ปัจจุบัน เกาหลีใต้เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาในอัตราที่ต่ำอยู่แล้ว ทำให้อัตราการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาจะมีได้ในอัตราที่ไม่มาก ทำให้การต่อรองเรื่องลดภาษีเห็นผลไม่มากเท่าที่ทรัมป์ต้องการ อย่างไรก็ดี เกาหลีใต้อยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกาเพื่อที่จะให้อัตราภาษีตอบโต้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อลดผลกระทบทางการค้า&nbsp;ผู้ประกอบการไทยควรติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดการเงินทั้งในประเทศไทยและประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจสอบความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นหลังจากการประกาศแผนจัดเก็บภาษีโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของค่าเงิน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อราคาส่งออก&nbsp;(FOB/CIF) ซึ่งอาจมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ หากเกาหลีใต้ถูกเก็บภาษี&nbsp;25% จะทำให้กดกำลังผลิตและส่งออกของอุตสาหกรรมหลักเกาหลี อาทิ เหล็ก รถยนต์ แบตเตอรี่ ซึ่งอาจทำให้เกาหลีอาจลดการนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากไทย เช่น เหล็กแผ่น ยางพารา ปิโตรเคมี ผู้ประกอบการไทยควรติดตามข่าวอย่างต่อเนื่อง และหากอัตราภาษีน้อยกว่า 25% หรือน้อยกว่าคู่แข่งขัน ก็อาจจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเกาหลีใต้ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้&nbsp;(ที่มา : สำนักข่าว&nbsp;The Korea Times ฉบับวันที่ 8 กรกฎาคม 2568)&nbsp;********************************************************************สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโซล&nbsp;

เกาหลีใต้

ข่าวเด่นประจำเดือนกรกฎาคม 2568 (1).pdf

medium_1.png

สคต. ณ กรุงโซล (สาธารณรัฐเกาหลี)

3 สัปดาห์สำคัญของการเจรจาภาษีระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯ

2025 PR July 6-12 UAE คว้าที่ 3 ในการจัดอันดับกองทุนเพื่อความมั่งคั่งของรัฐทั่วโลก.pdf

thumbnail_Sovereign Wealth.png

Sovereign Wealth.png

สคต. ณ เมืองดูไบ (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)

  สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ครองอันดับ 3 กองทุน Sovereign Wealth ของโลก

medium_มวย.png

small_มวย.png

thumbnail_มวย.png

มวย.png

 “Muay Thai Roadshow” ปลุกกระแส Soft Power ไทยกลางนครซีอาน

medium_รถไฟ.jpg

small_รถไฟ.jpg

thumbnail_รถไฟ.jpg

รถไฟ.jpg

การรถไฟจีนเปิดทดลอง บริการ “Easy Travel” รับ-ส่งสัมภาระถึงบ้าน  ครอบคลุม 19 สถานีทั่วประเทศ

medium_西安.jpg

small_西安.jpg

thumbnail_西安.jpg

西安.jpg

“ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมฉางอัน” แลนด์มาร์กใหม่ ณ นครซีอาน

ข่าวประจำสัปดาห์ พฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของจีน.pdf

medium_Instant-Noodles-Collage-1024x768.jpg

small_Instant-Noodles-Collage-1024x768.jpg

thumbnail_Instant-Noodles-Collage-1024x768.jpg

Instant-Noodles-Collage-1024x768.jpg

สคต. ณ นครเซี่ยงไฮ้ (จีน)

ข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของจีนปี 2568

medium_1752134333626.jpg

small_1752134333626.jpg

thumbnail_1752134333626.jpg

1752134333626.jpg

สคต. ณ เมืองหนานหนิง (จีน)

ราคาจำหน่ายทุเรียนในตลาดจีนมีการปรับตัว

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;เนื้อหาสาระข่าวและบทวิเคราะห์: เข้าสู่ช่วงเทศกาลที่สำคัญที่สุดอีกช่วงหนึ่งสำหรับชาวอเมริกัน นั่นก็คือเทศกาลวันชาติ หรือวันประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ ซึ่งตรงกับวันที่ 4 กรกฎาคมของทุกปี โดยในปีนี้นอกจากการเฉลิมฉลองตามวิถีของชาวอเมริกันทั่วไปแล้วนั้น สิ่งที่พิเศษเพิ่มขึ้นมาในปีนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความแตกต่างในการเฉลิมฉลองไปบ้างไม่มากก็น้อย ก็คือสภาวะสงครามการค้าที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ จากการที่กำหนดครบการละเว้นการบังคับใช้มาตรการกำแพงภาษีนำเข้าแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เคยประกาศเอาไว้เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จะครบกำหนดในวันที่ 9 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ตลอดจนกำแพงภาษีนำเข้าเฉพาะสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่พึ่งประกาศปรับขึ้นอยู่ที่ 50% ไปหมาด ๆ ทำให้เป็นที่น่าสนใจว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบทำให้การเฉลิมฉลองวันชาติของชาวอเมริกันมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นหรือไม่ เพียงใด&nbsp;ซึ่งรายงานข่าวประจำสัปดาห์นี้จะได้อภิปรายถึงประเด็นนี้ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเฉลิมฉลองเป็นหลักซึ่งได้แก่สินค้าพลุไฟ และกลุ่มสินค้าอาหาร&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เนื่องจากชาวอเมริกันนิยมทำอาหารประเภทบาร์บิคิว / อาหารปิ้งย่างทานกันในกลุ่มเพื่อนหรือภายในครอบครัวเนื่องในโอกาสวันสำคัญที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาสังสรรค์กัน สินค้าอุปกรณ์ประกอบอาหารบาร์บิคิวหรือปิ้งย่าง เช่น เตาปิ้ง มีรายงานข้อมูลจากสภาหอการค้าสหรัฐฯว่าผลจากกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ทำให้ราคาเตาปิ้งย่างทั่วไปซึ่งมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 550 เหรียญสหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 715 เหรียญสหรัฐฯ หรือสูงขึ้น 165 เหรียญสหรัฐฯเลยทีเดียว เช่นเดียวกับสินค้าถังแก๊สซึ่งก็ได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน &nbsp;สำหรับสินค้าอาหารนั้นมีรายงานจาก&nbsp;Wells Fargo Agri-Food Institute ว่าในภาพรวมนั้นค่าใช้จ่ายอาหารสำหรับการเฉลิมฉลองวันชาติสหรัฐฯสำหรับ 10 คนนั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 130 เหรียญสหรัฐฯ โดยปรับสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 2.2% ในขณะที่ราคาสินค้าเนื้อบดปรับตัวสูงขึ้น 7.4% และราคาซอสบาร์บิคิวสูงขึ้น 2.3% จากปีที่แล้ว&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; หัวใจสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้สำหรับเทศกาลเฉลิมฉลองคือสินค้าพลุไฟ ซึ่งตามที่อาจจะพอคาดเดาได้อยู่นั้น ข้อมูลจากสมาคมพลุไฟแห่งชาติสหรัฐฯ&nbsp;(National Fireworks Association) ชี้ให้เห็นว่าสินค้าพลุไฟสำหรับผู้บริโภคทั่วไป (Consumer Fireworks) นั้น สหรัฐฯนำเข้าจากประเทศจีนมากถึง 99% ในขณะที่สินค้าพลุไฟขนาดใหญ่สำหรับการแสดง&nbsp;(Display Fireworks) นั้นสหรัฐฯนำเข้าจากประเทศจีนอยู่ที่ 75% เฉกเช่นสินค้าชนิดอื่น ๆ ที่สหรัฐฯยังคงพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก โดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งสภาวะกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าส่งผลให้ราคาสินค้าพลุไฟปรับตัวสูงขึ้น โดยมีการประมาณตัวเลขจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลุไฟ จากเดิมราคาต้นทุนค่าใช้จ่ายพลุไฟต่อการแสดงอยู่ที่ 7,500 – 15,000 เหรียญสหรัฐฯ นั้น อาจปรับตัวสูงขึ้น 5,000 – 15,000 เหรียญสหรัฐฯต่อการแสดงเลยทีเดียว&nbsp;<o:p></o:p><figure class="image"><img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/table_4eef492b41.png" alt="table.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_table_4eef492b41.png 208w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_table_4eef492b41.png 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_table_4eef492b41.png 750w" sizes="100vw" width="750"></figure> ตารางแสดงข้อมูลสถิติมูลค่าการนำเข้าสินค้าพลุไฟของสหรัฐฯ ในปี&nbsp;2024&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ: หากพิจารณาข้อมูลจากตารางในข้างต้น จะพบว่าแม้ว่าประเทศจีนจะเป็นผู้ส่งออกสินค้าพลุไฟรายใหญ่ที่สุดมายังสหรัฐฯ&nbsp;(เฉลี่ยรวมมูลค่าการนำเข้าประมาณ 96% จากทั้งหมด) แต่จะพบว่าประเทศไทยก็ยังได้ส่งออกสินค้าพลุไฟมาเป็นอันดับที่ 4 ตามหลังสเปนและกัมพูชา ดังนั้น ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าพลุไฟจากประเทศไทยมายังสหรัฐฯ อาจพิจารณาหาช่องทางในการขยายการส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวมายังสหรัฐฯ ทั้งนี้ ควรติดตามสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯอย่างใกล้ชิดเพื่อประโยชน์ในการวางแผนการส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ &nbsp;<blockquote>ที่มา:&nbsp;Newsweek เรื่อง:&nbsp;“How Will Tariffs Impact 4th of July Festivities?” โดย:&nbsp;Nick Mordowanec สคต. ไมอามี /วันที่ 3 กรกฎาคม 2568</blockquote>

สหรัฐอเมริกา

large_cover.png

medium_cover.png

small_cover.png

thumbnail_cover.png

cover.png

สคต. ณ เมืองไมอามี (สหรัฐอเมริกา)

ผลกระทบต่อเทศกาลวันชาติของสหรัฐฯจากกำแพงภาษีนำเข้าสินค้า

Weekly News_USDA เดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ใหม่เชิงรุก 3 แผ่น.pdf

large_79(2048 x 1365 px) .png

medium_79(2048 x 1365 px) .png

small_79(2048 x 1365 px) .png

thumbnail_79(2048 x 1365 px) .png

79(2048 x 1365 px) .png

สคต. ณ นครชิคาโก (สหรัฐอเมริกา)

ทรัมป์เดินหน้าอัตราภาษี กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ เดินหน้าแผนยุทธศาตร์ใหม่เชิงรุก

“เทศกาลไทยฤดูร้อน : เสน่ห์วัฒนธรรมไทยที่กำลังบานสะพรั่งทั่วญี่ปุ่น”อาหารริมทาง กางเกงลายช้าง ละครซีรี่ย์วาย และเพลง T-pop &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานเทศกาลไทยที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยกำลังกลายเป็นงานยอดนิยมในญี่ปุ่น ซึ่งโดยหลักแล้วสถานทูตไทยและหน่วยงานราชการไทยจะเป็นผู้จัด แต่ก็จะมีภาคเอกชนที่ร่วมกันจัดขึ้นโดยการสนับสนุนจากสถานทูตไทย &nbsp;เทศกาลไทยที่จัดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่นในช่วงฤดูร้อน ดึงดูดผู้คนทุกเพศทุกวัยที่ต่างมี “สิ่งที่ชอบ” เป็นของตัวเอง 🎤 ไฮไลต์ที่สวนโยโยงิ โตเกียว เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 &nbsp;เทศกาลไทย ณ กรุงโตเกียว ณ สวนโยโยกิ กรุงโตเกียว แม้จะมีฝนตกปรอย ๆ ก่อนที่งานจะเริ่ม แต่ก่อนเวลา 11 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาเริ่มกิจกรรมบนเวที ก็มีผู้คนต่อแถวยาวเหยียด จุดเด่นของงานคือการแสดงสดของศิลปิน T-Pop ที่จะเริ่มตอนบ่ายโมง บางคนมาต่อแถวตั้งแต่ตีสอง หญิงวัย 30 จากจังหวัดชิบะที่มาดูวงบอยแบนด์ “LYKN” ได้ลองซื้อ “ปาท่องโก๋” เป็นครั้งแรก ขณะที่หญิงวัย 50 จากโทจิกิ กล่าวว่า “หลังจบคอนเสิร์ตอยากไปดูซื้อกางเกงลายช้าง” งานนี้เต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ ๆ ทั้งอาหาร ของฝาก และการสนับสนุนศิลปินที่ชื่นชอบ&nbsp; 👥 ผู้เข้าร่วมงานทะลุ 250,000 คน คณะผู้จัดงานเทศกาลไทย ณ กรุงโตเกียว ระบุว่า มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 250,000 คนในสองวัน (10 – 11 พฤษภาคม 2568) ซึ่งมากกว่างานเทศกาลของประเทศยอดนิยมอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส (จำนวนหลักพันคน) หรือฮาวาย (จำนวนหลักหมื่นคน)&nbsp; 📺 ละครวาย จุดเริ่มต้นของความหลงใหล &nbsp; &nbsp; &nbsp; หลายคนเริ่มสนใจวัฒนธรรมไทยจากละครวาย (Boy Love) ขณะที่บางคนเริ่มจากการท่องเที่ยว และต่อยอดความชื่นชอบผ่านอาหาร สินค้า และกิจกรรมต่าง ๆ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp; 🥭 สินค้าไทยขายดี &nbsp; &nbsp;ชายวัย 40 ปีซื้อมะม่วง 10 กล่อง มูลค่า 80,000เยน เพราะเนื้อมะม่วงไทยมีความละมุนและหวานฉ่ำ รถตุ๊กตุ๊กก็มีขายในราคา 1.58 ล้านเยน และเคยขายหมดมาแล้วในอดีต นอกจากนี้ยังมีบริการนวดแบบไทยแท้ เบียร์เย็น ๆ และอื่น ๆ ที่ดึงดูดผู้คนทุกเพศทุกวัย 🛍️ เทศกาลไทยขยายสู่ร้านค้า &nbsp; &nbsp; &nbsp; ที่ห้าง “MUJI” &nbsp;สาขากินซ่า ได้จัดงานไทยแฟร์ 3 วัน ในธีม “Thai Festival” โดยมีทั้งอาหารไทย ชาสมุนไพร และสินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้าทอแบบดั้งเดิม ขณะที่ร้านหนังสือ “Tsutaya” สาขาไดคังยามะ ก็จัดงาน “Happy Winter Thai Festival” ในเดือนธันวาคม 2567 พร้อมกิจกรรมพูดคุยกับนักวาดการ์ตูนที่วาดเรื่องเกี่ยวกับไทย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเต็มทุกที่นั่ง 🌏 จากกรุงโตเกียวสู่ทั่วประเทศ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานเทศกาลไทยเริ่มต้นในปี 2543 โดยสถานทูตไทยในโตเกียว และปัจจุบันจัดขึ้นใน 7 เมืองทั่วญี่ปุ่น เมืองนาโกย่ามีผู้เข้าร่วมถึง 130,000 คน เป็นอันดับสองรองจากโตเกียวและเทศกาลนี้ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาในท้องถิ่นอีกด้วย 🎪 เวทีแสดงสินค้าและบริการไทย ในงานเทศกาลไทย ณ กรุงโตเกียว มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 100 ราย ทั้งร้านอาหารและร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการจากประเทศไทย ทำให้งานนี้กลายเป็นช่องทางสำคัญในการส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยวไทย 🌍 ขยายภาพลักษณ์และการรับรู้ การจัดงานเทศกาลไทยในหลายเมืองของญี่ปุ่น รวมถึงการจัดงานแฟร์ในห้างสรรพสินค้า เช่น MUJI หรือ Tsutaya ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวญี่ปุ่น เพิ่มการรับรู้แบรนด์ “ไทย” และเปิดโอกาสในการขยายตลาดส่งออก ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เทศกาลไทยที่จัดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่นไม่เพียงแต่เป็นเวทีแสดงพลัง Soft Power และความคิดสร้างสรรค์ของไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มแฟนคลับชาวญี่ปุ่นอีกด้วย โดยกลุ่มเป้าหมายหลักคือชาวไทยในญี่ปุ่นและชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบวัฒนธรรมไทยข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กำเนิด “งานเทศกาลอาหารไทย” ในญี่ปุ่น ครั้งแรกเมื่อ วันที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคม 2543 และต่อมา ครั้งที่ 2 จัดขึ้น เมื่อวันที่ 12 – 13 พฤษภาคม 2544 จัดโดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว กำหนดวางแผนจัดงานในสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมของทุกปี เสมือนเป็นสัญลักษณ์การนัดหมายพบปะหลังเทศกาลวันหยุดยาว Golden Week ของญี่ปุ่น ณ สวนสาธารณะโยโยงิ เขตชิบุยา และปรับรูปแบบเพิ่มพื้นที่การจัดงานเพื่อเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมและความเป็นไทย เปลี่ยนชื่อเป็น “งานเทศกาลไทย” เป็นการนำโดย สคต.กรุงโตเกียว ร่วมกับสถานอัครราชทูตไทย และหน่วยงานราชการไทย ประจำกรุงโตเกียว ตั้งแต่การจัดงานเทศกาลไทยครั้งที่ 3 ถึงปีปัจจุบัน จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว เป็นการประชาสัมพันธ์ อาหาร ผลไม้ สินค้าแฟชั่น และสินค้าบริการของไทย ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบวัฒนธรรมไทยโดยตรง ถือเป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการไทยในทุกสาขาอุตสาหกรรม เนื่องจากมีแฟนพันธุ์แท้ของไทยจำนวนมากที่เฝ้ารอการจัดงานเทศกาลไทยในหลายเมืองในประเทศญี่ปุ่น&nbsp; สคต. กรุงโตเกียว ร่วมออกคูหาประชาสัมพันธ์ตรา Thai SELECT และร้าน TOPTHAI ในงานเทศกาลไทย ณ กรุงโตเกียว โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 800 คน แต่กลับมีผู้เข้าร่วมจริงมากถึง 4,000 คน แสดงให้เห็นถึงความสนใจอย่างล้นหลาม นอกจากนั้น สคต. กรุงโตเกียว ยังได้จัดร่วมกับ MUJI และ Tsutaya Books สาขา Daikanyama โดยเฉพาะที่ Tsutaya มีการร่วมวางแผนตั้งแต่ต้นปี และนำเสนอสินค้าไทยหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นอาหาร แฟชั่น สินค้าหัตถกรรม ศิลปะ หรือเกม สคต. จึงจะต่อยอดการจัดกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรดังกล่าว เพื่อผลักดันการส่งออกสิ้นค้า Sof Power ของไทยในเชิงรุกต่อไปสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แปลและเรียบเรียงจาก หนังสือพิมพ์ Nikkei Shimbun ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ภาพประกอบข่าวจากเว็บไซต์ https://thaifes.jp/

ญี่ปุ่น

ฉบับที่ 40 ประจำวันที่ 28 มิถุนายน - 4 กรกฎาคม 2568.pdf

small_ฉบับที่ 40-1.jpg

thumbnail_ฉบับที่ 40-1.jpg

ฉบับที่ 40-1.jpg

สคต. ณ กรุงโตเกียว (ญี่ปุ่น)

เทศกาลไทยฤดูร้อน : เสน่ห์วัฒนธรรมไทยที่กำลังบานสะพรั่งทั่วญี่ปุ่น

เมียนมา

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของเมียนมา เดือน มิถุนายน 68.pdf

medium_Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

small_Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

thumbnail_Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

สคต. ณ กรุงย่างกุ้ง (เมียนมา)

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประจำเดือนมิถุนายน 2568

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผู้สูงอายุยุคใหม่ : กำลังซื้อที่ไม่ควรมองข้าม &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;นักวิเคราะห์ในฮ่องกงส่งสัญญานเตือนร้านค้าที่ไม่ปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของผู้สูงวัย อาจเสียโอกาสทางการตลาดที่มีมูลค่าสูงถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกงภายในปี 2046 ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นสองเท่าจากปัจจุบัน โดยเศรษฐกิจผู้สูงอายุ (silver economy) อาจมีขนาดใหญ่กว่าการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขถึง 4-5 เท่า&nbsp; และผู้สูงอายุยุคใหม่มีศักยภาพการบริโภคสูงขึ้น แต่ยังขาดผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์&nbsp;นาย&nbsp;Dicky Chow ตำแหน่ง&nbsp;Head of Healthcare and Social Innovation จาก&nbsp;Our Hong Kong Foundation ระบุว่า ความท้าทายคือการปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจผู้สูงอายุอย่างแท้จริง พร้อมเน้นว่า เพียงเพราะผู้สูงวัยมีกำลังซื้อ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยอมจ่ายเงินโดยง่าย หากรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพวกเขา&nbsp;ในทำนองเดียวกัน ศาสตราจารย์&nbsp;Xue Bai&nbsp; ตำหน่ง&nbsp;Director of the Research Centre for Gerontology and Family Studies จาก&nbsp;Hong Kong Polytechnic University กล่าวว่าผู้สูงวัยในฮ่องกงยุคใหม่นั้นมีวิถีชีวิตที่สุขภาพดีขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น การเลือกใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เครื่องใช้ในครัวที่มีการออกแบบตามหลัก Ergonomic หรือเสื้อผ้าที่ผสมผสานระหว่างความสวยงามและความสบาย นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้ากว่า 60 แห่งในฮ่องกงยังปรับตัวตามแนวโน้มเพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของกลุ่มผู้สูงวัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่รัฐบาลประกาศ 30 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสูงวัย รวมถึงร้านค้าและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเฉพาะ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัย&nbsp; &nbsp; &nbsp;๑. &nbsp; สิ่งที่ควรพัฒนา&nbsp;:&nbsp;ความต้องการของผู้สูงวัยในตลาดยังไม่ได้รับการตอบสนองถึง 70%2.&nbsp; บทเรียนจากต่างประเทศ : &nbsp;ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น กำหนดช่วงเวลาช้อปปิ้งพิเศษสำหรับผู้สูงอายุเพื่อความสะดวก หรือ&nbsp; สิงคโปร์ &nbsp;ใช้แนวคิด Universal Design ในการออกแบบร้านค้าให้เหมาะกับทุกวัย3. &nbsp;&nbsp;คำแนะนำสำหรับธุรกิจ&nbsp;: แนวทางสำหรับการพัฒนาธุรกิจที่มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุนั้น อาจเริ่มจากการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้มีความเหมาะสมและเอื้อต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงการจัดเวิร์กช็อปเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป สำหรับกลุ่มเป้าหมายในช่วงวัยนี้ ควรมุ่งเน้นบริการด้านการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพและสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย ในส่วนของผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ธุรกิจสามารถผลักดันบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความสุขในวัยเกษียณ การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองวิถีชีวิตของผู้สูงวัยอย่างครอบคลุมและยั่งยืน&nbsp;ความคิดเห็นของ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดผู้สูงอายุในฮ่องกงกำลังมีบทบาทสำคัญในฐานะแรงผลักดันทางเศรษฐกิจแห่งยุคสมัยใหม่ โดยสร้างความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะทางที่สอดคล้องกับความหลากหลายของกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อในระดับสูง ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการไทยจึงควรนำเสนอการพัฒนาสินค้าและบริการผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้สูงวัย ทั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสขยายตลาดและส่งเสริมศักยภาพทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น&nbsp;แหล่งข้อมูล:&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://hongkongbusiness.hk/retail/exclusive/ignoring-seniors-could-cost-retailers-big">https://hongkongbusiness.hk/retail/exclusive/ignoring-seniors-could-cost-retailers-big</a> &nbsp;&nbsp;

small_ข่าว กค. 2.png

thumbnail_ข่าว กค. 2.png

ข่าว กค. 2.png

สคต. ณ เมืองฮ่องกง (จีน)

ผู้สูงอายุยุคใหม่ : กำลังซื้อที่ไม่ควรมองข้าม

large_หน้าปก (5).png

medium_หน้าปก (5).png

small_หน้าปก (5).png

thumbnail_หน้าปก (5).png

หน้าปก (5).png

สคต. ณ นครนิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา)

ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีอีกครั้ง จุดกระแสเร่งเจรจาทั่วโลก

ข้อมูลล่าสุดของ หนังสือพิมพ์&nbsp;Business Daily ระบุว่า เคนยา มีสัดส่วนถึง 43% ของมูลค่าการค้ารวมระหว่างประชาคมแอฟริกาตะวันออก (EAC)&nbsp;กับสหภาพยุโรป (EU)&nbsp;หรือประมาณ 3.3 พันล้านยูโร จากการค้ารวมที่มีมูลค่าประมาณ 7.7 พันล้านยูโร ในปี 2024&nbsp;นอกจากนี้ เคนยายังเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนจากยุโรปเข้าสู่ภูมิภาค&nbsp;EAC&nbsp;มากที่สุด โดยมีสัดส่วนประมาณ 45% ของการลงทุนจาก&nbsp;EU&nbsp;ที่หลั่งไหลเข้าสู่&nbsp;EAC&nbsp;เหตุผลที่เคนยาครองความได้เปรียบกว่าประเทศอื่นใน&nbsp;EAC<ol style="padding-left:48px;"><li>ขนาดเศรษฐกิจและความหลากหลาย - เคนยาเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน EAC มีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาและภาคการผลิตที่หลากหลายกว่าประเทศเพื่อนบ้าน</li><li>เคนยากับข้อตกลง&nbsp;EPA กับสหภาพยุโรป - เคนยาเป็นประเทศเดียวใน&nbsp;EAC ที่ลงนามและให้สัตยาบัน ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (EconomicPartnership Agreement - EPA) กับ&nbsp;EU ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม&nbsp;2024 ซึ่งข้อตกลงนี้ให้สิทธิพิเศษกับสินค้าเคนยา เช่น ส่งออกไปยุโรปโดยปลอดภาษีและไม่จำกัดโควตา ขณะที่ประเทศอื่นยังไม่ได้รับสิทธิตามข้อตกลงนี้</li><li>โครงสร้างสินค้าส่งออกที่แข็งแกร่ง - สินค้าหลักของเคนยาที่ส่งออกไปยุโรป ได้แก่ กาแฟ ดอกไม้สด อะโวคาโด ยาสูบ โกโก้ ปลาแช่แข็ง (ปลานิลและกระพงน้ำจืด) ด้านนำเข้าสินค้าจากยุโรปประกอบด้วยสินค้าต่าง เช่น เครื่องจักร สารเคมี อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นต้น</li></ol>ผลกระทบต่อภูมิภาค&nbsp;EAC<ol><li>ความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของเคนยาใน EAC ส่งผลให้มีอิทธิพลต่อการเจรจาการค้าระดับภูมิภาคมากขึ้น</li><li>ประเทศอื่นใน&nbsp;EAC&nbsp;ได้แก่ ยูกันดา แทนซาเนีย รวันดา บุรุนดี และซูดานใต้ ยังคงได้รับสิทธิพิเศษจากโครงการ&nbsp;Everything-But-Arms (EBA)&nbsp;ของสหภาพยุโรป แต่สิทธิภายใต้&nbsp;EBA&nbsp;ไม่ครอบคลุมเท่าข้อตกลง&nbsp;EPA&nbsp;ที่เคนยาได้รับ</li><li>ข้อตกลง&nbsp;EPA&nbsp;ของเคนยา เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นใน&nbsp;EAC&nbsp;เข้าร่วม หากประเทศเหล่านั้นมีความพร้อม ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าของทั้งภูมิภาคในอนาคต</li></ol>&nbsp;ส่องดูตลาดและคู่แข่งของเคนยาในสินค้าสำคัญ และแนวทางการส่งออกของเคนยาใน&nbsp;EU&nbsp;(กาแฟ ดอกไม้ตัดสด และอะโวคาโด)<ol><li>กาแฟ – เคนยายังมีจำนวนการส่งออกเทียบกับคู่แข่งไม่ติดลำดับ 5 อันดับแรก แต่มีแนวโน้มส่งออกได้มากขึ้นในอนาคต เนื่องกาแฟเคนยามีคุณภาพสูง (Arabica) ต่างกับคู่แข่งสำคัญ เช่น บราซิล เวียดนาม ฮอนดูรัส และอินโดนีเชีย ที่ขาย&nbsp;Robasta เป็นหลัก โดยคู่แข่งสำคัญในตลาดบนคือ กาแฟจากโคลอมเบียแนวโน้มตลาด - การนำเข้า "กาแฟเขียว (ไม่คั่ว)" ยังคงสูง (ยึดส่วนแบ่ง 84% ของมูลค่าการนำเข้า) แต่ความต้องการกาแฟ&nbsp;decaffeinated&nbsp;และกาแฟคั่วเพิ่มขึ้นในอนาคต</li><li>ดอกไม้ตัดสด – เคนยาเป็นผู้ส่งออกที่ครองตลาด&nbsp;EU เป็นลำดับที่ 4 ตามหลัง เนเธอร์แลนด์ โคลอมเบีย เอกวาดอร์ โดยมีคู่แข่งสำคัญจากแอฟริกาคือ เอธิโอเปีย มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 487 ล้าน&nbsp;USD ต่อปีแนวโน้มตลาด -&nbsp;EU เพิ่มมาตรการตรวจสอบ “False Codling Moth (FCM)” จาก 5%&nbsp;→ 25% (พ.ค. 2024) ทำให้ผู้ส่งออกเคนยาต้องปรับตัวมากขึ้น ทำให้ระยะแรกอาจจะยังส่งออกได้น้อยลงบ้าง</li><li>อะโวคาโด – เคนยา เป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดจากแอฟริกา แต่เป็นลำดับ 4-5 ของแหล่งนำเข้า ตามหลัง เปรู ชิลี โคลอมเบีย และมีคู่แข่งจากแอฟริกาคือ โมร็อกโก แอฟริกาใต้ โดยส่งออกประมาณ 161 ล้าน&nbsp;USD ต่อปี&nbsp;แนวโน้มตลาด -&nbsp;EU นำเข้าอะโวคาโด 813,000 ตันต่อปี การบริโภคต่อหัวใน&nbsp;EU&nbsp;คงที่ที่&nbsp;~1.4 กก./คน/ปี แต่มีศักยภาพเติบโตสูงในยุโรปตะวันออก เคนยาควรวางแผนการปลูกและระบายสินค้าให้สอดคล้องกับฤดูกาลและความต้องการตลาด ซึ่งปัจจุบันสู้กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาที่มีผลผลิตทั้งปีไม่ได้ ทำให้บางครั้งขายไม่ได้ราคาเท่าที่ควร&nbsp;ความเห็นของ สคต.&nbsp;จากรายงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า เคนยามุ่งเน้นการขยายตลาดการค้าและดึงนักลงทุนจากยุโรปมากกว่าหลายประเทศในแอฟริกา โดยสินค้าส่งออกสำคัญยังเป็นสินค้าทางการเกษตร เป็นหลัก เช่น กาแฟ อะโวคาโด ดอกไม้สด เป็นต้น ซึ่ง สคต. มองว่า ประเทศไทยสามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรเหล่านี้ โดยใช้เคนยาเป็นฐานการผลิตได้ในอนาคต อย่างไรก็ดี ด้วยการที่ไทยยังไม่มีข้อตกลงการค้ากับแอฟริกา ทำให้การเข้ามาทำตลาดอาจจะเสียเปรียบคู่แข่งทั้งจากยุโรปและแอฟริกาที่อาจเข้ามาแย่งโอกาสตรงนี้ได้ นอกจากนั้น ไทยอาจต้องเริ่มมองเคนยา และประเทศในแอฟริกาอื่นที่อาจเป็นคู่แข่งในการส่งออกสินค้าไปยังยุโรปในอนาคตด้วยต่อไป และในทางกลับกันเมื่อยุโรปมีข้อตกลงการค้าดังกล่าว จะทำให้สินค้าอาหารแปรรูปจากยุโรปเข้ามาทำตลาดในเคนยาและแอฟริกามากขึ้น&nbsp;ผู้ส่งออกหรือนักธูรกิจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่&nbsp;E-mail:&nbsp;ของสำนักงานฯ ที่&nbsp;<a href="mailto:info@ocanairobi.co.ke">info@ocanairobi.co.ke</a>&nbsp;&nbsp;</li></ol>ที่มา :&nbsp;https://www.theeastafrican.co.ke/&nbsp;

เคนยา

แปล_วิเคราะห์_2025_ July_ข่าว1.docx-เคนยาครองส่วนแบ่งตลาดการค้าใน EU ถึงร้อย 43% ของการส่งออกไป EU (เทียบกับกลุ่มประเทศ EAC).pdf

medium_July 1.jpg

small_July 1.jpg

thumbnail_July 1.jpg

July 1.jpg

สคต. ณ กรุงไนโรบี (เคนยา)

เคนยาครองส่วนแบ่งตลาดการค้าใน EU ถึงร้อย 43% ของการส่งออกไป EU (เทียบกับกลุ่มประเทศ EAC)

รัฐบาลเคนยา โดยหน่วยงานควบคุมมาตรฐานสินค้าเคนยา (KEBS) และกระทรวงสาธารณสุขเคนยา กำลังอยู่ในระหว่างการร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเตือนให้ทราบถึงอาหารแปรรูป (packaged food) ที่มีส่วนประกอบหรือปริมาณสารอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพ ได้แก่ มีน้ำตาลมากเกินไป (High in sugar) มีเกลือมากเกินไป (High in salt) และ มีไขมันมากเกินไป (High in saturated fat) โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเริ่มประกาศใช้กฎหมายนี้ภายในเดือน มีนาคม 2569 (ค.ศ.2025) โดยมีการเริ่มออกแบบและทดลองใช้งานแล้วในปัจจุบัน โดยให้ชื่อฉลากนี้ว่า “ป้ายเตือนด้านสุขภาพ (black warning label)” ซึ่งเป็นเรื่องที่ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอาหารสำเร็จรูปทั้งในเคนยาและนำเข้าจากต่างประเทศจะต้องปฎิบัติให้มีฉลากดังกล่าวในสินค้าประเภทนี้ต่อไป&nbsp;โดยเรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากสำนักงานข่าว Reuter และสำนักงานข่าวต่างๆในเคนยา ถึงที่มาที่ไปในเรื่องนี้กล่าวคือ&nbsp;ด้วยแนวคิดของกระทรวงสาธารณสุขเคนยาและ หน่วยงานควบคุมมาตรฐานสินค้าเคนยา (KEBS)&nbsp; ได้ร่วมกันจัดทำรายงานศึกษา รายงาน&nbsp;ATNI (Access to Nutrition Initiative) เพื่อศึกษาว่า อาหารแปรรูปที่มีจำหน่ายในเคนยามีคุณภาพด้านโภชนาการที่เป็นคุณหรือเป็นโทษอย่างไรกับผู้บริโภค เนื่องจากมีข้อมูลว่า ในช่วงปี 2018–2023 ที่ยอดขายอาหารแปรรูปเพิ่มขึ้น 16% และตั้งแต่ปี 2000 ผู้บริโภคเคนยาป่วยเป็นเบาหวานหรือโรคอ้วนเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า (โดยคิดเป็นร้อยละ45% ของผู้หญิงต่อคนทั้งหมดและ 19% ของผู้ชายต่อคนทั้งหมด) ทำให้ภาครัฐควรหาทางเตือนผู้บริโภคให้เลือกรับประทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะมากขึ้น ซึ่งจากผลการศึกษาของรายงาน&nbsp;ATNI พบข้อมูลที่น่าตกใจดังนี้ พบว่าประมาณ 90% ของผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มบรรจุภัณฑ์ในเคนยา (กลุ่มตัวอย่างจำนวน 746 ผลิตภัณฑ์จาก 30 บริษัทใหญ่ ซึ่งครอบคลุมกว่า 57% ของตลาดอาหารบรรจุภัณฑ์ในประเทศเคนยา) พบสินค้าถึงร้อยละ 90 ของผลิตภัณฑ์ที่สำรวจมีเกณฑ์ระดับน้ำตาลสูง เกลือ หรือไขมันอิ่มตัว มากเกินไป ซึ่งได้ทำการประเมินตามแบบ&nbsp;Kenya Nutrient Profiling Model&nbsp;ที่ยึดเอามาตรฐานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตามข้อแนะนำชอง&nbsp;WHO&nbsp; ทั้งนี้ หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่ว่านี้ ทำให้รัฐบาลได้วางเป้าหมาย ที่จะต้องจัดทำฉลากที่เตือนผู้บริโภคให้ทราบถึงอันตรายของการรับประทานอาหารที่มี น้ำตาล เกลือ หรือไขมันสูงเกษณ์ที่ร่างการควรได้รับ โดยเป้าหมายคือฉลากที่จัดทำขึ้นนี้ จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าโดยคำนึงถึงสุขภาพ ได้อย่างเหมาะสม &nbsp;โดยได้มีการทดลองแบบสุ่ม (แบบ&nbsp;RCT) ชี้ว่า สัญลักษณ์ “ไม่ดีต่อสุขภาพ” สีดำในรูปทรงแปดเหลี่ยม เป็นรูปแบบที่ใช้งานได้ดีที่สุดในกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภค โดยช่วยให้ผู้ใช้จดจำสารที่เป็นปัญหา และปรับพฤติกรรมการซื้อได้ดีที่สุด&nbsp;ความเห็นของ สคต.&nbsp;จากรายงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานควบคุมมาตรฐานสินค้าเคนยา (KEBS)&nbsp;และกระทรวงสาธารณสุขเคนยา ต้องการจะให้สินค้าอาหารแปรรูปที่จะจำหน่ายในเคนยา จัดทำฉลาก “ป้ายเตือนด้านสุขภาพ (black warning label)” โดยอ้างว่า จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกสินค้าที่ดีและเป็นประโยชน์กับร่างกายแต่ละคนมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นความประสงค์ที่ดีและมีความเหมาะสมที่คนหันมาสนใจการรักษาสุขภาพตัวเองมากขึ้นของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งเคนยาก็จะเป็นประเทศอันดับแรกที่มีร่างกฎหมายในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อมีระเบียบดังกล่าวขึ้น จะทำให้การผลิตอาหารแปรรูปของผู้ผลิตในประเทศ และผู้นำเข้าสินค้าอาหารแปรรูปจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิต หรือต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่จะสูงขึ้นเพื่อให้มีฉลากดังกล่าวตามข้อกำหนดต่อไป ซึ่งอาจเป็นนโยบายที่หน่วยงานภาครัฐของเคนยาต้องการหารายได้จากประชาชนมากขึ้นเช่นกัน&nbsp;สำหรับประเทศไทยนั้น การส่งออกสินค้าอาหารแปรรูปนับเป็นสินค้าที่สำคัญชนิดหนึงที่มีการนำเข้าจากไทยมายังประเทศเคนยา มูลค่าประมาณปีละ 250-350 ล้านบาท (ปี 2567) ซึ่งผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องควรเตรียมการในเรื่องดังกล่าวในอนาคตต่อไป โดยกฎหมายนี้น่าจะเริ่มบังคับใช้จากผู้ผลิตรายใหญ่ในเดือนมีนาคม 2569 และบังคับทั้งหมดในปี 2570 ซึ่งหากมองถึงโอกาสของไทยแล้ว อาจเป็นโอกาสของการส่งออกสินค้าอาหารเฉพาะ เช่น อาหารน้ำตาลน้อย หรือ อาหารลดโซเดียม ที่มุ่งหวังเจาะตลาดของคนรักสุขภาพต่อไปเช่นกัน&nbsp;ผู้ส่งออกหรือนักธูรกิจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่&nbsp;E-mail:&nbsp;ของสำนักงานฯ ที่&nbsp;<a href="mailto:info@ocanairobi.co.ke">info@ocanairobi.co.ke</a>&nbsp;&nbsp;ที่มา :&nbsp;citizen tv

แปล_วิเคราะห์_2025_ July_ข่าว2.docx-เคนยาเตรียมออกกฎหมายฉลาก ป้ายเตือนด้านสุขภาพ -black warning label.pdf

medium_July 2.png

small_July 2.png

thumbnail_July 2.png

July 2.png

เคนยาเตรียมออกกฎหมายฉลาก “ป้ายเตือนด้านสุขภาพ (black warning label)” ในสินค้าอาหารแปรรูปภายในปี 2026 ประเทศแรกในทวีปแอฟริกา ความท้าทายที่ผู้ส่งออกอาหารไทยต้องเตรียมการรับมือ

องค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ (Knowledge of international trade)