เนื้อหาสาระข่าว: ภายหลังการยืนยันการประกาศขึ้นกำแพงภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีสาเหตุปัจจัยทางการเมืองเป็นตัวขับเคลื่อนจากการที่สหรัฐฯโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการกดดันประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ แคนาดา และเม็กซิโก ในกรณีปัญหาทางชายแดนต่าง ๆ ระหว่างสหรัฐฯและทั้งสองประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทั้งสองประเทศมากที่สุดจากทั้งหมด โดยในจำนวนนี้ปริมาณกว่าครึ่งหนึ่งของการนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ มาจากแคนาดา ซึ่งด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้ปธน.ทรัมป์เชื่อว่ากำแพงภาษีสินค้ากลุ่มนี้จะกระทบต่อการส่งออกของแคนาดาอย่างมีนัยสำคัญ และเข้าทางกับอีกนโนบายเรือธงของปธน.ทรัมป์ในการดึงอุตสาหกรรมต่าง ๆ กลับมาผลิตในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบรรดาภาคธุรกิจในสหรัฐฯ จะไม่เป็นไปอย่างที่ปธน.ทรัมป์คิดไว้
นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญได้ประมาณการณ์ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ มูลค่าอาจสูงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% จากการนำเข้าทุกแหล่งไม่เพียงเฉพาะแคนาดาหรือเม็กซิโก ผลกระทบอาจไปตกที่กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสินค้าที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้บริโภคทั่วไปในสหรัฐฯ
การตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมนั้นเคยมีมาก่อนหน้านี้ในสมัยแรกของปธน.ทรัมป์ โดยมีการกำหนดกำแพงภาษีดังกล่าวขึ้นครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งนับว่าไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมในสมัยแรกคือขอบเขตของสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมที่เข้าข่ายโดนกำแพงภาษี โดยในรอบนี้มีรายการสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมมากถึง 289 รายการ ซึ่งสองในสามเป็นสินค้าอะลูมิเนียม และอีกหนึ่งในสามเป็นสินค้าเหล็ก ทั้งหมดครอบคลุมตั้งแต่สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมชิ้นใหญ่ อาทิ รถยนต์ เครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องจักรกล เป็นต้น จนถึงสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมขนาดเล็ก อาทิ เครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์ น็อต ตะปู เหล็กเส้น ลูกประตู เป็นต้น อีกทั้งยังครอบคลุมถึงสินค้าอาหารบรรจุกระป๋อง อาทิ ปลากระป๋อง เครื่องดื่มบางชนิด เป็นต้น หรือเรียกสรุปโดยรวมได้ว่าสินค้าอะไรก็ตามแต่ที่มีเหล็กหรืออะลูมิเนียมเป็นส่วนหนึ่ง อยู่ในขอบข่ายกำแพงภาษีกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ รายละเอียดมูลค่าสินค้าแต่ละกลุ่มตามที่ปรากฎในแผนภาพด้านล่าง สามารถบ่งชี้ให้เห็นถึงกลุ่มสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมแต่ละประเภทซึ่งสหรัฐฯ นำเข้ามามากที่สุด
แผนภาพแสดงข้อมูลมูลค่าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม 10 อันดับแรก ที่สหรัฐฯ นำเข้าในปี 2024 ซึ่งเข้าข่ายรายการสินค้าที่ถูกกำหนดกำแพงภาษีในครั้งนี้
บทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะ: จากการที่การกำหนดกำแพงภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมในครั้งนี้ของปธน.ทรัมป์ คือหนึ่งในความพยายามที่จะดำเนินการตามนโยบายดึงการลงทุนและการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯกลับเข้ามาในประเทศ ผ่านการกีดกันการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของสินค้าวัตถุดิบซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมหนักในสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯเองนั้นยังไม่พร้อมเต็มที่ในหลายปัจจัย ทำให้มีนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยเห็นพ้องต้องกันว่าศักยภาพของสหรัฐฯ ในการที่จะหันกลับมาพึ่งพาการผลิตสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศแบบฉับพลัน หรือในระยะเวลาสั้นนั้นเป็นความท้าทายที่สูงมาก เหตุผลดังกล่าวทำให้ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรมในสหรัฐฯไม่อาจรับมือหรือปรับตัวกับโครงสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานของสินค้าต้นทุนที่จำเป็นต่อการผลิตได้ทัน
จุดนี้เองที่เป็นส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการกำหนดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของปธน.ทรัมป์ ดังที่มีตัวอย่างเกิดขึ้นล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากกรณีที่เมื่อปธน.ทรัมป์ลงนามกำหนดกำแพงภาษีนำเข้า 25% เฉพาะสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก แต่ผ่านไปให้หลังเพียงไม่กี่วัน ปธน.ทรัมป์ก็ได้ลงนามเลื่อนกำแพงภาษีสินค้าบางกลุ่มออกไปอีก 1 เดือนซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่มีการเปลี่ยนแปลงการกำหนดกำแพงภาษีในชุดเดียวกัน ซึ่งแม้ว่าจะมีเหตุผลทางการเมืองระหว่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหน้า แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการยับยั้งกำแพงภาษีเหล่านั้นก็ได้ยืดเวลาให้ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมไทยมายังสหรัฐฯ อาจเผชิญความท้าทายสูงขึ้นจากกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าในครั้งนี้ แต่ด้วยท่าที่ของการกำหนดนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยปธน.ทรัมป์ และศักยภาพในการปรับตัวรับมือของภาคเอกชนอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ซึ่งยังคงไม่นิ่ง ก็อาจส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายหรือเลื่อนการกำหนดใช้กำแพงภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมได้อีกเช่นกัน ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วจากกรณีศึกษาที่ได้หยิบยกมาเป็นตัวอย่าง ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมไทยจำเป็นที่จะต้องติดตามท่าทีจากทางการสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด เพื่อประโยชน์ในการส่งออกสินค้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมมายังสหรัฐฯ
********************************************************* ที่มา: Reuters 主题: “Trump’s Expanded Metals Tariffs to hit Goods From Horseshoes to Bulldozer Blades” โดย: David Lawder 和 Jason Lange สคต. ไมอามี /วันที่ 13 มีนาคม 2568