จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติอิตาลี (ISTAT) ประจำเดือนธันวาคม 2567 เปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2567 – 2568 ของอิตาลี ขยายตัวอยู่ที่ 0.5% และ 0.8% ตามลำดับ (จากเดิมที่ได้คาดการณ์ไว้ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 1.0% และ 1.1% ตามลำดับ และคาดการณ์ในช่วงเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ 0.8% และ 0.9% ตามลำดับ) ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ GDP ของอิตาลี ปี 2567 ยังคงขยายตัว มีปัจจัยมาจากความต้องการบริโภคสินค้า/บริการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่ การบริโภคภายในประเทศยังคงอ่อนตัว โดยในปี 2568 จะมีปัจจัยสนับสนุนมาจากความต้องการบริโภคสินค้า/บริการภายในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ GDP ของอิตาลี ไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัวอยู่ที่ 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 และขยายตัวอยู่ที่ 0% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปี 2567
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของสมาพันธ์อุตสาหกรรมของอิตาลี (Confindustria) เกี่ยวกับการคาดการณ์ตัวเลข GDP ของอิตาลี ไตรมาส 4 ปี 2567 อาจมีแนวโน้มที่ไม่ค่อยสดใสมากนัก อันเนื่องมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจในประเทศที่ลดลง (ระหว่างช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2567) ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ภาคธุรกิจยานยนต์ และภาคการลงทุน โดยเดือนตุลาคม 2567 ภาคอุตสาหกรรมการผลิตในอิตาลี หดตัว 3.6% โดยเฉพาะภาคการผลิตยานยนต์ (-34.5%) ภาคการผลิตเครื่องหนัง (-17.2%) และภาคการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตเลียมกลั่น (-15.8%) รวมถึงจำนวนการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ในอิตาลีเดือนตุลาคม 2567 ยังคงลดลงต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 (-0.8%) การค้าปลีกในประเทศหดตัวอีกครั้ง (-0.8%) สำหรับภาคการส่งออกสินค้า (ถือเป็นภาคธุรกิจที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอิตาลีเป็นอย่างมาก) หดตัว อันมีสาเหตุมาจากมูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังตลาดที่ไม่ใช่สมาชิกสหภาพยุโรป (non-EU27 countries) ลดลง 3.5% (เดือนตุลาคม 2567) รวมถึงความต้องการบริโภคสินค้าในสหรัฐอเมริกาชะลอตัวลง -2.45% (เดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญของอิตาลี อันดับ 2 รองจากเยอรมนี) และการส่งออกสินค้าไปยังจีน ระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 ที่หดตัวเป็นอย่างมาก (-21.3%) เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (จีนถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญของอิตาลี อันดับ 11) นอกจากนี้ คำสั่งซื้อจากตลาดต่างประเทศยังคงมีแนวโน้มที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งซื้อของตลาดในสหภาพยุโรปที่ชะลอตัวลง และแนวนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ การเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้า และการปรับเปลี่ยนข้อตกลงทางการค้าเพื่อประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกาเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม พบว่า เดือนกันยายน 2567 ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการในอิตาลี ขยายตัว 6.9% เทียบกับเดือนกันยายน 2566 การปรับอัตราภาษีลดลง อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลง และการดำเนินการแผนพัฒนาและฟื้นฟูประเทศ (PNRR)
สำนักงานสถิติแห่งชาติอิตาลี ได้คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) เดือนพฤศจิกายน 2567 หดตัว 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เป็นผลมาจากราคาสินค้า ขยายตัวลดลง (+0.2% จาก +0.3% ของเดือนตุลาคม 2567) โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาสินค้าอาหาร ขยายตัวลดลง (+0.6% จาก +1.2% ของเดือนตุลาคม 2567) แบ่งเป็น ราคาสินค้าอาหารแปรรูป (+0.3%) (เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ +2.7%) และราคาสินค้าที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป (+1.2%) (เดือนก่อนหน้าอยู่ที่ +2.7%) ในขณะที่ หากเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.3% ซึ่งภาวะเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว มาจากราคาสินค้าที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น (+0.2% จาก -0.5% ของเดือนพฤศจิกายน 2566) โดยราคาสินค้าด้านพลังงานที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น (-5.5% จาก -9.0% ของเดือนพฤศจิกายน 2566) แบ่งเป็น ค่าไฟฟ้าในตลาดที่ได้รับการคุ้มครองและก๊าซสำหรับใช้ภายในครัวเรือน (+7.4% จาก +3.9% ของเดือนพฤศจิกายน 2566) และราคาเชื้อเพลิงยานยนต์ น้ำมันหล่อลื่น เชื้อเพลิงในครัวเรือน และไฟฟ้าในตลาดเสรี (-6.6% จาก -10.2% ของเดือนพฤศจิกายน 2566)
ความคิดเห็นของ สคต. ณ เมืองมิลาน
1. สำนักงานสถิติแห่งชาติอิตาลี (ISTAT) ได้ปรับคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ปี 2567-2568 ลดลงอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจอิตาลีมีแนวโน้มชะลอตัว อันมีผลมาจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเชีย-ยูเครน และระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ที่ยังคงไม่มีท่าทีสงบลง รวมถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของทรัมป์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างอิตาลี-สหรัฐอเมริกา ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวยังคงส่งผลกระทบต่อราคาวัตถุดิบ (row material) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ราคาสินค้า/บริการในประเทศที่มีการปรับตัว ส่งผลให้ประชาชนในประเทศมีกำลังในการจับจ่ายซื้อสินค้า/บริการลดลง และชะลอ/ลดการใช้จ่ายสินค้าฟุมเฟือยเพิ่มมากขึ้น
2. ปี 2567 (มกราคม – ตุลาคม) การค้าระหว่างประเทศของอิตาลีมีแนวโน้มหดตัว อิตาลีส่งออกไปทั่วโลกมีมูลค่า 533,081.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 5.60% ซึ่งมีผลมาจากมูลค่าการส่งออกไปยังตลาดส่งออกที่สำคัญของอิตาลี 5 อันดับแรกหดตัว (คิดเป็นสัดส่วน 41.20% ของตลาดส่งออกทั้งหมดของอิตาลี) ได้แก่ เยอรมนี (-14.92%) สหรัฐอเมริกา (-2.45%) ฝรั่งเศส (-12.26%) สเปน (-7.65%) และสวิตเซอร์แลนด์ (-1.45%) และอิตาลีนำเข้าจากทั่วโลกมีมูลค่า 483,535.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 10.14% โดยส่วนใหญ่เป็นแหล่งนำเข้าในสหภาพยุโรปซึ่งถือเป็นแหล่งนำเข้าที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของอิตาลี (คิดเป็นสัดส่วน 33.5% ของแหล่งนำเข้าทั้งหมดของอิตาลี) ได้แก่ เยอรมนี (-12.99%) ฝรั่งเศส (-8.84%) เนเธอร์แลนด์ (-10.60%) และสเปน (-7.79%) ในขณะที่ อิตาลีนำเข้าสินค้าจากไทยมีมูลค่า 1,864.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว 5.98% โดยสินค้าสำคัญที่อิตาลีนำเข้าลดลงจากไทย ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า 370.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (-3.28%) เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด มูลค่า 312.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (-26.92%) ไข่มุก เครื่องประดับที่มีค่า และกึ่งมีค่า มูลค่า 171.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (-16.77%) ในขณะที่ อิตาลีนำเข้าสินค้ายานยนต์และส่วนประกอบจากไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.56% มีมูลค่า 249.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยาง ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.18% มีมูลค่า 169,24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้ามายังตลาดอิตาลี ควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอิตาลีอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมความพร้อมในการวางแผนและรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการค้าของอิตาลีที่อาจส่งผลต่อการส่งออกไทยในปี 2568
ที่มา: 1. https://www.istat.it/comunicato-stampa/le-prospettive-per-leconomia-italiana-nel-2024-2025-2/
2. Economia italiana in rallentamento e industria in crisi. Non basta la discesa dei tassi
3.Global Trade Atlas
4.เครดิตรูปภาพประกอบข่าว https://unsplash.com/photos/aerial-photo-of-cargo-crates-fN603qcEA7g#:~:text=Photo%20by%20CHUTTERSNAP%20on%20Unsplash, https://unsplash.com/photos/1zO4O3Z0UJA#:~:text=Photo%20by%20Mathieu%20Stern%20on%20Unsplash