ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกาหลีใต้ลดลงมากสุดนับตั้งแต่โควิด-19

(ที่มา : สำนักข่าว The Korea Times, The Korea Herald ฉบับวันที่ 24 ธันวาคม 2567)

ผลสำรวจของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) รายงานว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในเดือนธันวาคม ลดลงมากที่สุดในรอบ 4 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางผลกระทบจากการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุนซอกยอล

จากผลสำรวจของ BOK ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ 88.4 ลดลง 12.3 จุดจาก 100.7 ในเดือนพฤศจิกายน ถือเป็นการลดลงรายเดือนที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ที่มีดัชนีลดลง 18.3 จุดในช่วงเริ่มต้นของการระบาดของโควิด-19 นอกจากนี้ ดัชนีในเดือนธันวาคมยังเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งอยู่ที่ 86.6

ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ถ้าตัวเลขที่สูงกว่า 100 แสดงให้เห็นสัญญาณในแง่ดี ในขณะที่ตัวเลขที่ต่ำกว่า 100 บ่งบอกถึงสัญญาณที่ไม่ดี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาว (2546-2566) ตัวเลขในเดือนธันวาคมถือเป็นการผกผันอย่างรวดเร็ว โดยลดลงต่ำกว่า 100 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ค่า 98.4 ซึ่งดัชนียังคงอยู่เหนือ 100 ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างไม่แน่นอนของอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาของเกาหลีใต้

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการลดลงอย่างรวดเร็วคือความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดจากการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ซึ่งนำไปสู่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีที่ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยิ่งลดน้อยลงจากความไม่มั่นคงในตลาดการเงินโลกและสภาพแวดล้อมทางการค้าในต่างประเทศ

เจ้าหน้าที่จาก BOK ได้อธิบายว่า ดัชนี CSSI ลดลงในเดือนพฤศจิกายนเนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการชะลอตัวของการส่งออก นอกจากนี้ เหตุการณ์กฎอัยการศึกยังทำให้ดัชนีลดลงรุนแรงขึ้นอีกด้วย เจ้าหน้าที่ยังเสริมอีกว่า การเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะขึ้นอยู่กับความเร็วในการคลี่คลายสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง

นายอูซอกจิน ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมยองจีกล่าวว่า การหดตัวอย่างมีนัยสำคัญของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสะท้อนถึงความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาวของความไม่มั่นคงทางการเมืองต่อเศรษฐกิจ โดยได้กล่าวว่า ความไม่แน่นอนที่มากขึ้นทำให้ผู้คนหันมาอดออมมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง การประกาศกฎอัยการศึกไม่เพียงแค่สร้างความตกใจ แต่ความยุ่งเหยิงที่ตามมาซึ่งเกิดจากคณะรัฐมนตรีและพรรคฝ่ายค้านยังทำให้ประชาชนวิตกกังวลมากขึ้นอีกด้วย การลดลงอย่างรวดเร็วของความเชื่อมั่นบ่งชี้ว่า ประชาชนหมดความเชื่อมั่นว่าความวุ่นวายจะได้รับการแก้ไขในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ นายอูซอกจินยังเสริมว่า หากไม่มีการแก้ไขอย่างรวดเร็ว สถานการณ์อาจทำให้เศรษฐกิจที่ซบเซาอยู่แล้วแย่ลงไปอีก ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงยิ่งขึ้น

ความล้มเหลวของกฎอัยการศึกทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีสั่นคลอน ตลาดผันผวนและค่าเงินท้องถิ่นร่วงลงเป็นประวัติศาสตร์ โดยดัชนี Kospi ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบปีที่ 2,360 จุด เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ขณะที่ค่าเงินวอนอ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปีที่ 1,450 วอนต่อเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม ค่าเงินวอนของเกาหลีร่วงลงที่ 1,450 วอนต่อเหรียญสหรัฐฯ เป็นวันที่สามติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลก

BOK คาดการณ์ว่า ราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ในปีหน้า ท่ามกลางอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่สูงขึ้นและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากสหรัฐฯ ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากร้อยละ 2.8 ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนถึงการผกผันของการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อที่สังเกตได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม

ค่าเงินวอนที่อ่อนลงได้เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแล้ว โดยส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้นและกระตุ้นให้ราคาดัชนีผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือนและเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ราคาผู้ผลิตซึ่งปกติแล้วมักจะนำหน้าราคาผู้บริโภคกลับลดลงในรอบ 4 เดือน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในเดือนพฤศจิกายน

ความวุ่นวายทางการเมืองได้บดบังอนาคตของเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ที่สิ้นหวังอยู่แล้ว โดยคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงอีกในปี 2568 ท่ามกลางอุปสงค์และการลงทุนภายในประเทศที่อ่อนแอลง เมื่อวันจันทร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังระบุว่า การเติบโตอาจลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2% ในปี 2568 ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของธนาคารกลางเกาหลีใต้ที่ร้อยละ 1.9

 

บทวิเคราะห์

หลังจากการประกาศกฏอัยการศึกของประธานาธิบดียุนซอกยอล เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ได้สร้างความโกลาหลให้กับประเทศเกาหลีใต้ ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองและเริ่มมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเงินวอนเกาหลีอ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี ส่งผลให้ราคานำเข้าของสินค้าจากต่างประเทศสูงขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าค่าเงินอาจจะอ่อนลงอีกในปีหน้า การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการ

 

ส่งออกซึ่งอาจจะเติบโตไม่เต็มที่ และผู้ประกอบการเกาหลีอาจต้องรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ประชาชนมีแนวโน้มที่จะเก็บออมเงินมากขึ้น ไม่ใช้ในการบริโภค ในขณะที่นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มที่จะชะลอการเดินทางมาเกาหลีใต้ ทำให้ปริมาณความต้องการจับจ่ายใช้สอยในประเทศลดลง ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้ควรที่จะต้องเร่งทำให้เกิดความชัดเจนทางการเมือง และกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม

 

********************************************************************

首尔海外贸易促进办公室

zh_CNChinese