ยุคสมัยที่ 2 ของทรัมป์ในการครองอำนาจอาจส่งผลกระทบในด้านลบมากกว่าด้านดีต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้ โดยเฉพาะสิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือภาษี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้คำมั่นสัญญาในการหาเสียงเลือกตั้งว่า จะเก็บภาษีนำเข้า10-20% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมด และเก็บในอัตราภาษีที่สูงถึง 60% สำหรับสินค้าจากประเทศจีน ทรัมป์ ผู้ยึดถือความเป็นมหาอำนาจของอเมริกา ยืนกรานมาโดยตลอดว่า ภาษีศุลกากรจะไม่ได้ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อกระตุ้นโรงงานในการผลิตสินค้าต่างๆ รวมถึงเป็นการกดดันเพื่อขึ้นค่าใช้จ่ายด้านการทหาร โดยไม่สนว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นพันธมิตรหรือไม่ก็ตาม
บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังคาดการณ์อีกด้วยว่า มีความเสี่ยงสูงที่อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเนื่องจากการเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น เพราะบริษัทต่างๆ ก็จะผลักภาระด้านภาษีให้กับผู้บริโภคอีกทอดหนึ่ง หากมีการเก็บภาษีเพิ่มบริษัทผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาก็จะต้องปรับราคาสินค้าขึ้น สถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (Peterson Institute for International Economics : PIIE) วิเคราะห์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ว่า หากทรัมป์ยืนยันที่จะบังคับใช้นโยบายทางเศรษฐกิจอย่างที่เคยให้คำปราศรัยไว้ อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.9% ในปี 2569 อาจจะพุ่งขึ้นเป็นระหว่าง 6 -9.3 สูงสุดที่ร้อยละ 9.3
นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีนก็เป็นอีกหนึ่งสาระสำคัญที่ต้องให้ความสนใจเช่นกัน เพราะหากสินค้าจากประเทศจีนไหลไปยังประเทศอื่นเนื่องจากถูกสหรัฐฯ ปิดกั้นเส้นทางส่งออก สงครามการค้าอาจจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากแต่ละประเทศต้องเพิ่มอัตราภาษีเพื่อปกป้องตลาดในประเทศของตน
นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า มูลค่าการส่งออกของเกาหลีใต้อาจลดลงค่อนข้างมาก สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจต่างประเทศ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ (KIEP) คาดการณ์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาว่า การส่งออกรวมของเกาหลีจะลดลง 44,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่เคยส่งออกรวม 508,670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2567) ตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีโลกในระบอบการปกครองของทรัมป์
ไม่เพียงเท่านั้น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนอาจจะเร่งให้เกิดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเพื่อปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก และในกรณีที่เกาหลีใต้ต้องเข้าร่วมในความขัดแย้งดังกล่าว เป็นไปได้ว่าสวัสดิการทางเศรษฐกิจภายในประเทศอาจจะลดลงถึง 1.37%
หากประธานาธิบดีทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 10-20% จากเกาหลีใต้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ไปยังสหรัฐฯ จะลดลงประมาณ 15,200 – 30,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ หากสหรัฐฯกำหนดอัตราภาษีแก่ประเทศที่สาม การส่งออกของจากเกาหลีไปยังสหรัฐฯ ก็จะลดลง และอาจส่งผลกระทบให้การนำเข้าสินค้าขั้นกลาง (Intermediate goods) ของเกาหลีลดประมาณ 4.7 พันล้าน – 1.16 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ความเห็น สคต.
นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายทรัมป์ 2.0 ทำให้บริษัทเกาหลีใต้เล็งเห็นความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และหวาดระแวงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและการลงทุน ในขณะเดียวกันก็คาดการณ์ถึงผลประโยชน์ที่อาจได้รับจากการเพิ่มกฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นต่อคู่แข่ง ซึ่งได้แก่จีน ซึ่งอาจส่งผลให้มีการย้ายฐานการลงทุนจากจีนกลับมายังเกาหลี หรือประเทศที่สาม ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยอาจจะต้องใช้โอกาสนี้ในการชักชวนการลงทุนของเกาหลีใต้ ที่อาจจะย้ายฐานจากจีน ให้มาที่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการที่อัตราภาษีนำเข้าของสินค้าเกาหลีใต้ไปสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้มีแนวโน้ม การส่งออกจากเกาหลีใต้ไปสหรัฐฯ จะลดลง ประเทศไทยซึ่งมีการส่งออกสินค้าขั้นกลาง (Intermediate goods) ไปยังเกาหลีใต้ อาจได้รับผลกระทบจากการหดตัวของการส่งออกดังกล่าว โดยสินค้าที่อาจจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ยางสังเคราะห์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น
นอกจากนี้ หากสหรัฐฯ บังคับใช้นโยบายเพิ่มภาษีจากต่างประเทศ อาจเป็นการกดดันให้เกาหลีต้องเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อรักษาดุลทางการค้าและรักษาห่วงโซ่อุปทานในประเทศ นอกจากนี้ สินค้าส่งออกจากไทยมายังเกาหลีอาจเจอการแข่งขันจากจีนมากกว่าเดิม เนื่องจากอัตราภาษีสูงทำให้สินค้าจีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง และต้องกระจายไปยังตลาดอื่นมากขึ้น
(ที่มา : สำนักข่าว MoneyS ฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567)
********************************************************************
首尔海外贸易促进办公室