ตลาดเครื่องดื่มในสหรัฐอเมริกา

ตลาดเครื่องดื่มในสหรัฐอเมริกา

ในปี 2025 ตลาดเครื่องดื่มในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะมีมูลค่ารวมสูงถึง 131,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการบริโภคเครื่องดื่มที่ยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของตลาดนี้ในช่วงปี 2025 ถึง 2029 จะอยู่ที่ 9.24% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่มั่นคงและรวดเร็ว เมื่อพิจารณาตามแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าภายในปี 2029 มูลค่ารวมของตลาดเครื่องดื่ม

ในสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 187,230 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐอเมริกาจะครองตำแหน่งประเทศที่สร้างรายได้จากตลาดเครื่องดื่มสูงที่สุดในโลก ทั้งนี้ ด้วยขนาดตลาดที่ใหญ่ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่สูง ทำให้สหรัฐฯ เป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในระดับโลก

บริษัท NCSolutions ซึ่งเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีการโฆษณาและการวัดผลการขาย เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดว่า 49% ของชาวอเมริกันมีแผนที่จะลดการดื่มแอลกอฮอล์ในปี 2025 เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี 2024 โดยผลการสำรวจได้เผยแพร่ก่อนที่ US Surgeon General จะออกมาเรียกร้องให้มีการเตือนเกี่ยวกับการบริโภคแอลกอฮอล์และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็ง

โดยในปี 2025 อุตสาหกรรมเบียร์ สุรา และไวน์เตรียมตัวรับมือกับยอดขายที่อาจลดลง ประกอบกับการที่ US Surgeon General เรียกร้องให้ติดฉลากเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของโรคมะเร็งบนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยิ่งเพิ่มความกดดันให้กับธุรกิจนี้มากขึ้น

นอกจากนี้ อุตสาหกรรมยังต้องเผชิญกับความท้าทายอื่นๆ เช่น เทรนด์ Dry January” (งดดื่มแอลกอฮอล์ในเดือนมกราคม) และ “Sober October” (งดดื่มแอลกอฮอล์ในเดือนตุลาคม) รวมถึงการเติบโตของความนิยมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำและเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การลดการดื่มก็กลายเป็นกระแสทั่วประเทศ

ผู้นำกระแสนี้คือ กลุ่ม Gen Z (อายุระหว่าง 18 ถึง 28 ปี) ซึ่งเกือบสองในสาม (65%) ระบุว่าพวกเขาวางแผนจะดื่มน้อยลงในปี 2025 ขณะเดียวกัน เกือบ 4 ใน 10 ของคนในกลุ่ม Gen Z (39%) ระบุว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตแบบ “ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย” ในปี 2025

ย้อนกลับไปในปี 2023 มีเพียงชาวอเมริกันประมาณหนึ่งในสาม (34%) ที่เข้าร่วมการสำรวจระบุว่าพวกเขาวางแผนจะดื่มน้อยลงนาย Alan Miles ซีอีโอของ NCSolutions เชื่อว่าผลสำรวจในขณะนั้นอาจเป็นผลสะท้อนจากช่วงการระบาดของโควิด-19 โดยเขากล่าวว่า บางทีผู้คนอาจดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เนื่องจากทุกคนต่างก็เผชิญกับความเครียดในช่วงนั้น ณ ปัจจุบัน แนวโน้มการดื่มน้อยลงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้เกิดจากศีลธรรมเกี่ยวกับแอลกอฮอล์หรือการดื่ม แต่เกิดจากความรู้สึกว่าผู้คนต้องการมีวิถีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ

ทั้งนี้ กลุ่ม Gen Z และ Millennials มีแนวโน้มที่จะมองหาเครื่องดื่มทางเลือกอื่นแทนแอลกอฮอล์มากกว่ากลุ่มอื่น เช่น เครื่องดื่มที่มีสาร THC และของกินที่ผสมกัญชา นาย Alan Miles ยังกล่าวว่า ไม่ใช่ว่าผู้บริโภคไม่ต้องการการหลีกหนีจากความเครียดหรือความเป็นจริง แต่พวกเขาแค่ไม่เลือกใช้แอลกอฮอล์ในการทำเช่นนั้น

ภาพรวมเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์

           เบียร์ไร้แอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ต่ำกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไปเริ่มทรงตัว ยอดขายของเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ และสุราไร้แอลกอฮอล์กลับเพิ่มสูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2024 โดยผู้บริโภคใช้จ่ายไปกับเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ถึง 829.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา ข้อมูลจาก NIQ

เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ยังคงเป็นสัดส่วนหลักของยอดขายเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นเกือบ 25% คิดเป็น 699.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในบรรดาแบรนด์ใหม่ล่าสุด มี Bero ซึ่งเป็นเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ก่อตั้งร่วมโดยนักแสดง Tom Holland การที่ Tom Holland มีส่วนร่วม ส่งผลให้นิตยสาร Men’s Health ได้ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์เขาซึ่งกล่าวถึง Bero ซึ่งอาจช่วยให้แบรนด์น้องใหม่รายนี้สามารถแข่งขันกับเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ชั้นนำอย่างAthletic Budweiser และ Heineken ได้

อีกเหตุผลหนึ่งคือ กลุ่ม Gen Z และ Millennials มักจะตามกระแสของคนดังและอินฟลูเอนเซอร์ โดยมากกว่า 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่มนี้ จากผลสำรวจของ NCSolutions ระบุว่า พวกเขาเคยลองเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ที่ได้รับการโปรโมทโดยคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์

            เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ที่กำลังได้รับความนิยม โรงเบียร์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งได้เริ่มเข้าร่วมในตลาดเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยบริษัท Boston Beer ได้เปิดตัว Samuel Adams Just the Haze IPA ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 2021 และตามมาด้วย Gold Rush lager ในอีกสองปีถัดมา ขณะที่ Sierra Nevada Brewing Co. เริ่มจำหน่าย Trail Pass IPA และ Trail Pass Golden NA เบียร์ในปลายปี 2023 และได้เพิ่ม Trail Pass Hazy IPA และ Brewveza ตามมาในภายหลัง เบียร์ไร้แอลกอฮอล์ส่วนใหญ่มีแอลกอฮอล์ประมาณ 0.5% แต่ก็มีเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์เลยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Heineken 0.0 และ Bud Zero ซึ่งกำลังได้รับความนิยม และในเร็วๆ นี้จะมีการวางจำหน่าย Michelob Ultra Zero

ภาพรวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

            ในปี 2024 ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบสามปี สะท้อนผลกระทบจากกระแสวิถีชีวิตแบบไม่ดื่มแอลกอฮอล์ (sober curious) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยยอดขายรวมของเบียร์ ไวน์ สุรา น้ำอัดลมแอลกอฮอล์ และค็อกเทลพร้อมดื่ม ลดลงเล็กน้อยไม่ถึง 1% จาก 113.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 เหลือ 112.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 ข้อมูลจากบริษัท NIQ ซึ่งเก็บรวบรวมจากร้านค้าหลากหลายประเภทในสหรัฐฯ ตลอดช่วงเวลา 52 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 มกราคม 2025

เคลีย์ เทอเรียลต์ ผู้อำนวยการร่วมฝ่ายวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของ NIQ กล่าวว่า กระแส sober curious” (การใส่ใจหรือสนใจในวิถีชีวิตที่ลดหรืองดแอลกอฮอล์) กำลังส่งผลกระทบ ผู้บริโภคเลือกการดื่มแบบพอเหมาะ และนั่นคือเหตุผลที่ในตลาดปัจจุบันพบว่าผลิตภัณฑ์ไร้แอลกอฮอล์เติบโตขึ้น และซัพพลายเออร์หลายรายก็ออกสินค้าที่มีแอลกอฮอล์ต่ำมากขึ้น และคิดว่าแนวโน้มการดื่มแบบพอเหมาะนี้จะยังคงเติบโตต่อไป

เครื่งดื่มแอลกอฮอล์ประเภทเบียร์ Modelo Especial ยังคงเป็นเบียร์ที่ครองตลาดสูงสุด แต่เบียร์นำเข้าหลายแบรนด์อาจเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ในปี 2024 ยอดขายเบียร์ลดลงเล็กน้อยในสหรัฐฯ แต่ผู้บริโภคยังคงเลือก Modelo Especial ซึ่งขึ้นมาเป็นเบียร์อันดับหนึ่งแทนที่ Bud Light โดยในปี 2023 ยอดขายของ Modelo Especial เพิ่มขึ้นประมาณ 7% ทำให้ยังคงเป็นเบียร์ที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐฯ ข้อมูลจาก NIQ โดยในภาพรวม ยอดขายของเบียร์ในร้านค้าปลีกลดลงเล็กน้อย อยู่ที่ 56.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  เทียบกับปี 2023 อยู่ที่ 57.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

นายเดฟ วิลเลียมส์ รองประธานฝ่ายการวิเคราะห์และข้อมูลเชิงลึกของ Bump Williams Consulting ซึ่งให้บริการในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กล่าวว่า Modelo Especial ยังมีโอกาสเติบโต และจะเห็นการแข่งขันจากเบียร์นำเข้ามากขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศอื่น ๆ

อีกหนึ่งแนวโน้มในตลาดเบียร์ที่สะท้อนถึงกระแสการดื่มแบบพอเหมาะ คือ เบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ โดยล่าสุด Dogfish Head ได้เปิดตัว 30 Minute Light IPA ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 4% ซึ่งเพิ่มเข้ามาเป็น 1 ในผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ และก่อนหน้านี้ Dogfish Head เคยเปิดตัวเบียร์ Slightly Mighty Low Calorie IPA ที่มีแอลกอฮอล์ 4% และมีแคลอรี่เพียง 95 แคลอรี่

           เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทค็อกเทลพร้อมดื่ม เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2024 โดยอยู่ที่ 33.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 33.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 ตามข้อมูลจาก NIQ แม้ว่ายอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเติบโตช้าลง แต่ค็อกเทลพร้อมดื่ม เช่น High Noon ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับสูง ซึ่งช่วยกระตุ้นแนวโน้มโดยรวม

คาดว่าค็อกเทลพร้อมดื่ม รวมถึงเครื่องดื่มมอลต์ที่มีรสชาติหลากหลาย ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เบียร์
จะยังคงเติบโตต่อไป เนื่องจากมีความสะดวกในการเสิร์ฟและมีตัวเลือกหลายรสชาติ ทำให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มคนรุ่นใหม่ การเติบโตอาจมาจากผู้บริโภคที่เลือกสินค้าราคาถูกลง และหันไปเลือกตัวเลือกที่มีราคาจับต้องได้มากขึ้น

           ยอดขายไวน์ยังคงลดลง ในปี 2023 ยอดขายไวน์ลดลง 2.5% จาก 23.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เหลือ 22.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2024 ตามข้อมูลจาก NIQ แม้ไวน์จะยังคงเผชิญกับยอดขายที่ลดลง แต่ก็ถือเป็นหมวดหมู่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงที่สุด ขณะเดียวกัน ไวน์ขวดขนาดเล็ก 375 มล. กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคบางกลุ่ม เนื่องจากช่วยควบคุมต้นทุน

อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลังจากเผชิญภาวะชะลอตัวติดต่อกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องเร่งปรับตัว แม้บางแบรนด์จะยังสามารถเติบโตได้ดี แต่ก็มีหลายแบรนด์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงมีอยู่ แต่เปลี่ยนแปลงไปและไม่ได้กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ
แม้อุตสาหกรรมจะยังมีขนาดใหญ่ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังคงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางทางสังคมในหลายโอกาส แม้ผู้บริโภคบางกลุ่มจะเลือกทางเลือกอื่นในบางสถานการณ์ แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ยังคงเลือกดื่มแอลกอฮอล์อยู่เสมอ

ความคิดเห็นของ สคต. นิวยอร์ก

จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาที่สะท้อนผ่านข้อมูลการสำรวจล่าสุด ผู้ประกอบการไทยในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรเริ่มวางกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อรับมือกับตลาดโลกที่มีทิศทางเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ที่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials กำลังหันหลังให้กับแอลกอฮอล์แบบเดิม และมองหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่ำ ไร้แอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่ผสมสารที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เช่น THC

ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ นอกจากนี้ หากต้องการเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ หรือขยายตลาดให้กว้างขึ้นในระดับสากล ควรให้ความสำคัญกับการรับรองคุณภาพสินค้า เช่น การผลิตตามมาตรฐานปลอดแอลกอฮอล์ (เช่น 0.0%) การระบุข้อมูลโภชนาการอย่างชัดเจน และการใช้วัตถุดิบธรรมชาติ ซึ่งเป็นจุดขายที่ผู้บริโภคในปัจจุบันให้ความสำคัญมากขึ้น

ข้อมูลอ้างอิงจาก:

https://www.usatoday.com/story/money/2025/01/21/alcohol-trends-2025-moderation-low-non-alcoholic-survey/77351695007/

สคต. นิวยอร์ก เดือนพฤษภาคม 2568

zh_CNChinese