ความคืบหน้านโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกา

ตามที่ประธานาธิบดี Donald Trump เคยประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าทั่วโลกที่สหรัฐฯ เสียดุลการค้าและที่มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้ากลุ่มเดียวกัน โดยระบุว่าเป็นในลักษณะ ตาต่อตาฟันต่อฟัน dollar ต่อ dollar – reciprocal โดยจะประกาศรายละเอียดในวันที่ 2 เมษายน 2568 ที่ประธานาธิบดี Trump เรียกว่าเป็นวันปลดแอก “Liberation Day” แล้วนั้น อย่างไรก็ดี ในวันที่ 26 มีนาคม 2568 ประธานาธิบดี Trump ได้ออกมาประกาศว่าการเก็บภาษีที่จะประกาศในวันที่ 2 เมษายน จะไม่ใช่ในลักษณะ reciprocal ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบในทางลบอย่างหนักต่อคนอเมริกัน เแต่จะเป็นในลักษณะ lenient หรือการลงโทษประเทศคู่ค้าแบบเบาะๆ โดยอาจจะมีข้อยกเว้นบางสินค้าและบางประเทศ และจะไม่นำเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่เรื่องภาษี (non-tariff barriers) ของประเทศคู่ค้าที่มีต่อสหรัฐฯ เข้ามาใช้เป็นเงื่อนไข โดยรายละเอียดในการขึ้นภาษีประเทศคู่ค้าอื่นๆจะถูกประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2568

 

การเปลี่ยนใจในครั้งนี้ของ Donald Trump ตอกย้ำพฤติกรรมเดิมๆของเขา ที่มักจะออกมาประกาศคำขู่เพื่อดูว่าจะเกิดการตอบโต้ไปในแนวทางใด ในลักษณะ “test the waters” หรือ “โยนหินถามทาง” เพื่อตัดสินว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือถอยหรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ปฏิกิริยาตอบโต้กับคำขู่ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสินค้าจำนวนมากจากหลายประเทศคู่ค้า ในขณะนี้เป็นไปในทางลบอย่างมาก  กล่าวคือ ไปยกระดับความวิตกกังวลและความไม่มั่นใจในการทำธุรกิจของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและความไม่มั่นใจในการบริโภคของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มว่าจะนำไปสู่การสั่นคลอนของเสถียรภาพ เศรษฐกิจ ตลาดการเงินและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็ไปกระตุ้นคู่ค้าหลายประเทศ ที่อาจจะถือไพ่ที่เหนือกว่า ให้ตื่นตัวจัดทำแผนการต่อสู้  ปฏิกิริยาตอบโต้ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ทำให้ประธานาธิบดี Trump ออกมาประกาศแนวทางการขึ้นภาษีนำเข้าที่เป็นไปในลักษณะที่ลดระดับความรุนแรงลง

 

คำขู่ล่าสุดของประธานาธิบดี Trump คือ ประเทศที่ซื้อน้ำมันรูปแบบใดๆจากเวเนซูเอลลา ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีร้อยละ 25 จากสินค้าประเทศเหล่านั้นที่นำเข้าสหรัฐฯ เริ่มต้นวันที่ 2 เมษายน 2568

 

พฤติกรรม test the waters ของประธานาธิบดี Trump อาจทำให้เชื่อได้ว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าอื่นๆ ที่กำหนดจะประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2568 จะไม่ใช่ข้อยุติ มีแนวโน้มสูงว่า ภายหลังจากวันที่ 3 เมษายน 2568 ซึ่งคาดกันว่าจะเป็นวันที่มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจะมีผลบังคับใช้ แนวคิดการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump จะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ต่อไป

  

อุตสาหกรรมเป้าหมายแรกของการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯของประธานาธิบดี Trump   คือ

1. สินค้าที่ถูกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าไปแล้ว

(1) เหล็กและอลูมิเนียมจากทุกประเทศ ถูกขึ้นภาษีแล้วร้อยละ 25 มีผลบังคับใช้วันที่ 12 มีนาคม 2568

(2) รถยนต์นำเข้าจากทุกประเทศ ถูกขึ้นภาษีแล้วร้อยละ 25 ในวันที่ 26 มีนาคม 2568 มีผลบังคับวันที่ 2  เมษายน 2568

2. สินค้าที่ถูกขู่ขึ้นภาษี แต่ยังไม่มีการระบุรายละเอียดและยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

(1) ไม้ (lumber)  ยังคงเป็นคำขู่เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ว่าจะถูกขึ้นภาษีร้อละ 25  ปัจจุบันอยู่ในกระบวนการสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

(2) Semiconductor ยังคงเป็นคำขู่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจะถูกขึ้นภาษีร้อละ 25 หรือสูงกว่า

(3) เวชภัณฑ์ ยังคงเป็นคำขู่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าจะถูกขึ้นภาษีร้อละ 25 หรือสูงกว่า

(4) สินค้าเกษตร ยังคงเป็นคำขู่เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 ว่าจะถูกขึ้นภาษีในวันที่ 2 เมษายน 2568 แต่ยังไม่ได้กำหนดอัตราภาษี

(5) แผงวงจรไฟฟ้า (integrated circuits) ขู่เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ว่าจะขึ้นภาษีแต่ยังไม่ได้กำหนดอัตราภาษี

 

มีความเป็นไปได้สูงว่าในวันที่ 2 เมษายน 2568 แต่ละประเทศคู่ค้าจะถูกขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯในอัตราที่ไม่เท่าเทียมกัน ประเทศที่เป็นเป้าหมายและมีความเสี่ยงสูงสุด นอกเหนือจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน อาจจะเป็น

1. ร้อยละ 15 ประเทศคู่ค้าที่เป็นเป้าหมายหลัก ที่ประธานาธิบดี Trump เรียกว่า คู่ค้าเลวๆ 15 ประเทศ หรือ DIRTY 15 คือประเทศที่สหรัฐฯ เสียดุลการค้าอย่างมากและมีอัตราภาษีสูงและมีข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่คาดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 10 – 15 ประเทศ  ปัจจุบันยังไม่มีการระบุชัดเจนว่าประกอบไปด้วยประเทศใดบ้าง แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็น 10 – 15 ประเทศที่สหรัฐฯ เสียดุลการค้าสูงสุดในปี 2024 ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 12 ด้วยเหตุผล คือ

(1) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้เคยระบุว่าประเทศที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจเป็นพิเศษและกำลังอยู่ในระหว่างสอบสวนพฤติกรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ คือ อาร์เจนติน่า ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา จีน สหภาพยุโรป อินเดีย          อินโดนิเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย เม็กซิโก รัสเซีย ซาอุดิอาร์เบีย อาฟริกาใต้ สวิสเซอร์แลนด์ ไต้หวัน ประเทศไทย ตุรกี อังกฤษ และ เวียดนาม

(2) ใน“Project 2025” ที่เป็นคัมภีร์การบริหารประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมสุดขั้วของสหรัฐฯ จัดทำขึ้น ระบุชัดเจนว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ที่สหรัฐฯ ที่ต้องการลดการเสียดุลการค้า

 

2. อุตสาหกรรมเป้าหมายแรกที่ประธานาธิบดี Trump  ขึ้นภาษีนำเข้าและวางแผนจะขึ้นภาษีนำเข้า เป็นอีกเงื่อนไขที่เป็นความเสี่ยงของประเทศไทย เนื่องจากสินค้าเช่น ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ semiconductor แผงวงจรไฟฟ้า และ สินค้าเกษตร เป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปยังสหรัฐฯ

 

กลยุทธที่ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ นำมาใช้ตอบโต้นโยบายขึ้นอัตราภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Trump แบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะคือ

 

1. สู้และตอบโต้โดยไม่อ่อนข้อให้สหรัฐฯ ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯที่ใช้กลยุทธนี้คือ ประเทศที่ถือไพ่บางตัวที่เหนือกว่า ทั้งหมดเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ทั้งในฐานะแหล่งอุปทานนำเข้าสินค้าสำคัญของสหรัฐฯ และในฐานะตลาดส่งออกสำคัญของสินค้าสหรัฐฯ เช่น

(1) แคนาดาแหล่งอุปทานนำเข้าสินค้าสำคัญที่สหรัฐฯ จำเป็นต้องใช้ เช่น พลังงาน น้ำมัน สินค้าเกษตร และอาหาร ต่อสู้และตอบโต้ด้วยการ boycott สินค้าสหรัฐฯ ทุกชนิด ขึ้นภาษีร้อยละ 25 กับสินค้าพลังงานไฟฟ้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ และจะขึ้นภาษีตอบโต้- reciprocal tariff กับสินค้าสหรัฐฯ เป็นต้น

(2) จีนแหล่งอุปทานนำเข้าสินค้าราคาถูกสำหรับผู้บริโภคสหรัฐฯ เป็นแหล่งอุปทานแร่หายากที่สหรัฐฯต้องการ เป็นฐานการลงทุนและการผลิตของหลายบริษัทสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญของสินค้าเกษตรสหรัฐฯ และที่สำคัญคือเป็นแหล่งเงินกู้สำคัญของสหรัฐฯ ทำให้จีนยืนยันต่อสู้และตอบโต้ด้วยการ เข้าไปควบคุมการทำธุรกิจและการส่งออกของบริษัทสหรัฐฯในจีน ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญของสหรัฐฯไปยังจีนถูกขึ้นภาษีอัตราร้อยละ 15 นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังแสดงนัยยะกับสหรัฐฯว่า จีนพร้อมทำสงครามกับสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็นสงครามทางการค้าหรือสงครามในสนามรบ

(3) สหภาพยุโรป ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ

 

2. ต่อสู้และตอบโต้ ในขณะเดียวกันก็สร้างเงื่อนไขกลับให้สหรัฐฯปฏิบัติตาม เช่น เม็กซิโก แหล่งอุปทานนำเข้าสินค้าเกษตรสด ฐานการผลิตสินค้าสำคัญหลายรายการ ยอมหาทางลดการส่งออกยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯต้องหาทางป้องกันการค้าอาวุธผิดกฎหมายจากสหรัฐฯ เข้าเม็กซิโก และจะยังคงเดินหน้าขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและเครื่องดื่มจากสหรัฐฯ

 

3. หาทางเข้าถึงและเจรจากับประธานาธิบดี Trump โดยหวังที่จะลดหรือหลบหลีกการตกเป็นเป้า เช่น สหราชอาณาจักร และอินเดีย เดินทางไปพบประธานาธิบดี Trump ที่ทำเนียบขาว เพื่อเจรจาหาทางต่อรอง

 

4. หันไปจับมือกับคู่ค้าอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐฯ เช่น แคนาดาหันไปพิจารณาคู่ค้าอื่นในยุโรป หรือสหภาพยุโรปหันไปพิจารณาเพิ่มการค้ากับจีน เป็นต้น

 

หมายเหตุ: ข่าวข้างบนนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่จัดทำและนำเสนอข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณชนทั่วไป และบางส่วนเป็นความเห็นส่วนบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส นำมารวบรวมเผยแพร่เพื่อแก่ผู้สนใจ เนื่องจากเป็นข้อมูลและความเห็นจากบุคคลที่สาม การนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณเฉพาะบุคคล สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส ไม่ขอรับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่อาจเกิดขึ้นจากการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ |
 สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ นครลอสแอนเจลิส 

thThai