การเลือกตั้งของเยอรมันในครั้งนี้ ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์และตัดสินอนาคตของประเทศอีกครั้งหนึ่ง เพราะเป็นการสรรหาผู้ที่จะเข้ามาจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ของประเทศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเยอรมนี โดยผู้นำคนใหม่จะต้องเข้ามาจัดการและตัดสินใจทั้งในเรื่องสงครามและสันติภาพในยุโรป นอกจากนี้ เขาจะต้องมาเป็นผู้กำหนดบทบาทของเยอรมนีในสายตาประชาคมโลกและเป็นผู้หาคำตอบว่า เยอรมนีจะสามารถกลับมามีอำนาจทางเศรษฐกิจ มีความสร้างสรรค์ และเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร รวมถึงต้องมาเป็นผู้รักษาความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคตให้แก่ประชาชน ดังนั้น ชาวเยอรมันจึงให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในครั้งนี้ และออกมาใช้สิทธิอย่างล้นหลาม ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภากำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักจากทั้งภายนอกและภายในประเทศ เหนือสิ่งอื่นใดผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ คือ สัญญาณที่ดีสำหรับเยอรมนีในขณะนี้ เพราะปัจจุบันเยอรมนีมีปัญหาภายในที่ต้องเร่งจัดการอย่างมาก เพื่อส่งสัญญาณที่ดีว่า ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพื่อให้เกิดจุดเปลี่ยนที่แท้จริง และเพื่อเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับเยอรมนี แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากก็ตาม
กลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพที่ประกอบด้วยพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) ได้เข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ยังห่างไกลจากเป้าหมายต่าง ๆ ที่ตั้งเอาไว้มากและมีการคาดการณ์กันว่า ในการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลางครั้งนี้กลุ่ม Union ได้รับคะแนนเสียงแย่เป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของพรรค อย่างน้อยกลุ่ม Union ก็ยังได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นราว 5% เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งปี นายกรัฐมนตรีในอนาคตจะต้องตัดสินใจ และแน่นอนมีเรื่องสำคัญมากมายที่เขาจะต้องตัดสินใจ โดยนาย Friedrich Merz หัวหน้าพรรค CDU กำลังเผชิญกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่และเป็นความท้าทายที่เกินกว่าประเด็นต่าง ๆ ที่เคยใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แน่นอนว่า เขาต้องแสดงให้เห็นว่า เขาจะหยุดยั้งการอพยพที่ผิดกฎหมายได้อย่างไร ซึ่งจะทำไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนบ้านในสหภาพยุโรป (EU) และไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาจะต้องดำเนินการตามคำมั่นสัญญาหาเสียงของเขาเพื่อลดปัญหาทางการเงินของประชาชนลง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ ประเด็นเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีบทบาทในการหาเสียงเลย แต่กลับเป็นประเด็นสำคัญสำหรับอนาคตของนาย Merz และเยอรมนีมาก 5 ประเด็นนี้
ประเด็นที่ 1 Merz จะต้องเป็น “นายกรัฐมนตรีของยุโรป” โดยแทบทุกคนใน EU กำลังรอให้เยอรมนี ในฐานะประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก กลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง และเยอรมนีต้องกลับมาเป็นผู้นำ EU เข้าสู่ยุคใหม่ ที่ไม่ต้องพึ่งพาสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป เนื่องจากขณะนี้สหรัฐฯ กำลังดำเนินตามแนวทางที่แปลกประหลาด ซึ่ง EU จะต้องมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น มีความสามัคคีและแข็งแกร่ง หากไม่ต้องการถูกบดขยี้ระหว่างนาย Wladimir Putin และนาย Donald Trump ทั้ง 2 ผู้นำ ที่เป็นผู้เชิญชูระบอบจักรวรรดินิยม นาย Merz จะต้องเข้ามารับบทบาทผู้นำ EU อย่างเต็มตัว
ประเด็นที่ 2 Merz จะต้องเสริมกำลังด้านการป้องกันประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯ จะพับร่มป้องกันทางการทหารในยุโรปลงในอีกไม่กี่สัปดาห์/เดือน/ปีข้างหน้านี้ จุดสนใจจะอยู่ที่สัญญาด้านการจัดซื้อ – จัดสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งขอบเขตของเรื่องนี้จะก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างดุเดือดในเยอรมนี และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการหารือเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร เช่นเดียวกับการเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหม และการอภิปรายเกี่ยวกับการการใช้อาวุธนิวเคลียร์ อีกด้วย
ประเด็นที่ 3 Merz ต้องพลิกฟื้นเศรษฐกิจเยอรมัน เนื่องจากเยอรมนีไม่สามารถปล่อยให้เศรษฐกิจถดถอยต่ออีกปีหนึ่งได้ เขาจะต้องเร่งแบ่งเบาภาระของภาคเอกชน และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถและทักษะจากทั่วทุกมุมโลกมายังเยอรมนี และสร้างเงื่อนไขและกรอบการการเริ่มต้นธุรกิจรูปแบบใหม่เกิดขึ้น โดยเยอรมนีมีพื้นฐานเบื้องต้นหลายประการสำหรับเรื่องที่กล่าวมานี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่จำเป็นตอนนี้คือ การเปลี่ยนแปลงความคิดพื้นฐานอย่างสิ้นเชิงนั้นเอง
ประเด็นที่ 4 เนื่องด้วยปัจจุบันต้องมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว Merz จึงต้องพัฒนาระบอบประชาธิปไตยแบบปฏิบัตินิยมรูปแบบใหม่ และเขาควรฝึกฝนรูปแบบทางการเมืองดังกล่าวในการจัดตั้งรัฐบาลผสมในอนาคต ที่สนับสนุนให้ทุกฝ่ายสามารถประนีประนอมอย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญกับหลักปฏิบัติมากกว่าหลักการทางการเมือง เช่น ในกรณีของ Schuldenbremse (การรักษางบประมาณให้มีความสมดุล หรือ Balanced Budget Amendment) เพราะการปิดกั้นทางการเมืองเป็นเวลานานหลายเดือนโดยพันธมิตรในคณะรัฐบาลแต่ละพรรคอย่างที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลนาย Olaf Scholz จะต้องไม่เกิดขึ้นกับรัฐบาลของ Merz แม้ว่านาย Scholz นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะพ้นจากตำแหน่งประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามรูปแบบการเมืองดังกล่าว ในช่วงเริ่มต้นของการจัดตั้งรัฐบาลผสมของเขาก็ตาม แต่ที่อำนาจความเป็นผู้นำของเขาลดลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดอำนาจของเขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะดึงพันธมิตรที่หลงทางกลับคืนมา และเตือนให้พวกเขารู้ถึงหน้าที่ของตนได้ โดยหน้าที่จริง ๆ ของพวกเขาก็คือ การดำเนินนโยบายที่เน้นประโยชน์ใช้สอยเพื่อประเทศ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของพรรคของพวกเขา
ประเด็นที่ 5 Merz ไม่ควรสร้างความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่า การตัดสินใจทางการเมืองของเยอรมนีในอนาคตจะดำเนินไปโดยไม่มีข้อโต้แย้งและการถกเถียงอันยาวนาน ประชาธิปไตยไม่ต้องการความสมดุล แต่ต้องการความขัดแย้ง เพราะมันเป็น “การจัดการการแก้ไขข้อขัดแย้งแบบมีอารยะ” ดังที่นาย Armin Nassehi นักสังคมวิทยาเคยกล่าวไว้
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้มีการแสดงให้เห็นแล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยของเยอรมนีสามารถเอาชนะวิกฤตการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime Mortgage Crisis) ในปี 2007 – 2008 และวิกฤตหนี้สาธารณะยุโรปในปี 2009 หรือแม้กระทั่งวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา และวิกฤตการณ์พลังงานไม่นานหลังจากที่รัสเซียเข้าโจมตียูเครน หากรัฐบาลกลางชุดใหม่ และพรรคการเมืองสายกลางในรัฐสภากลับมาใช้การบริหารจัดการวิกฤตที่มีประสิทธิผลบนพื้นฐานของการประนีประนอม ซึ่งจะไม่เพียงเป็นผลดีต่อความเจริญรุ่งเรือง และความมั่นคงของประเทศเท่านั้น วิธีนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้พรรคทางเลือกเพื่อประเทศเยอรมนี (AfD – Alternative für Deutschland) สามารถเพิ่มส่วนแบ่งคะแนนเสียงมากขึ้นไปอีก และป้องกันไม่ให้คนอย่างนาย Björn Höcke กลายมาเป็นรัฐมนตรีหัวรุนแรงนักการเมืองขวาจัด (Far – Right Politics)[1] เข้ามานั่งที่โต๊ะคณะรัฐมนตรีในทำเนียบรัฐบาลเยอรมัน
จาก Handelsblatt 14 มีนาคม 2568
[1] กลุ่มการเมืองขวาจัด (Far-right politics) คือ กลุ่มการเมืองแบบชาตินิยมแบบสุดโต่ง (Extreme Nationalism) อุดมการณ์ชาติภูมินิยม (Nativist) และแนวโน้มลัทธิอำนาจนิยม (Authoritarian))