พาณิชย์ แนะผู้ประกอบการไทยจับตาตลาดรถยนต์ EV ในกัมพูชา หลังรัฐบาลหนุนลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้าในกัมพูชา

พาณิชย์ แนะผู้ประกอบการไทยจับตาตลาดรถยนต์ EV ในกัมพูชา หลังรัฐบาลหนุนลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้าในกัมพูชา

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) แจ้งผู้ประกอบการไทย จับตาตลาดรถยนต์ EV ในกัมพูชา หลังมีแนวโน้มเติบโตสูง หลังรัฐบาลส่งเสริมให้คนหันมาใช้ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงาน ชี้มีโอกาสทั้งส่งออกรถยนต์ไปขาย และเข้าไปลงทุนทำสถานีชาร์จไฟฟ้า

วันที่ 27 ธันวาคม 2567
น.ส.สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้าถึงตลาดรักสิ่งแวดล้อม โดยล่าสุดได้รับรายงานจาก นายนิรวัชช์ รังสีกาญจน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา ถึงแนวโน้มการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) และโอกาสในการขยายตลาดรถ EV ของไทย และการลงทุนทำสถานีชาร์จไฟฟ้าในกัมพูชา เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ ทูตพาณิชย์ได้รายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) มีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตสูงในกัมพูชา เพราะไม่เพียงช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ยังส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน รวมทั้งกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในกัมพูชาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่รัฐบาลกัมพูชา โดยกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง ได้ริเริ่มแผนงานเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ EV ในกัมพูชา ตั้งเป้าหมายมีรถยนต์ EV จำนวน 800,000 คัน พร้อมสถานีชาร์จที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบัน ข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ณ เดือน ต.ค.2567 กัมพูชามีรถยนต์ใช้น้ำมันกว่า 7.6 ล้านคัน แบ่งเป็น รถจักรยานยนต์และรถสามล้อ 85% รถยนต์ 10% และรถบัส รถบรรทุก และรถเครื่องจักรกลหนัก 5%

น.ส.สุนันทากล่าวว่า จากปัญหาสิ่งแวดล้อมและภัยพิบัติธรรมชาติเริ่มเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ทำให้กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งในกัมพูชาโดยรัฐบาลกัมพูชามีนโยบายสนับสนุนให้ชาวกัมพูชาใช้ยานพาหนะไฟฟ้ามากขึ้น และมีนโยบายปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อลดต้นทุนการผลิต และรัฐบาลกัมพูชายังได้กำหนดเป้าหมายดังกล่าวไว้ในแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว ปี 2050 เพื่อลดปริมาณคาร์บอน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี โดยการสนับสนุนให้ใช้พลังงานสะอาดในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยลดภาษีนำเข้าสำหรับ EV ลงเหลือ 63% เมื่อเทียบกับรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 120% เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภครถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

โดยจากความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ดังกล่าว ทำให้มีการจดทะเบียนรถยนต์ EV เพิ่มขึ้น ข้อมูล ณ เดือน ต.ค.2567 มีจดทะเบียนแล้ว 2,513 คัน รถยนต์ EV ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ BYD ของจีน Toyota ของญี่ปุ่น และ Tesla ของสหรัฐ และมีสถานีชาร์จแบตเตอรีรถ EV จำนวน 21 แห่งทั่วประเทศ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า อาจพิจารณาส่งออกสินค้าดังกล่าวมายังกัมพูชา หรืออาจลงทุนด้านสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นในอนาคต

สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169

thThai