การดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจการค้าและการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากที่นาย Donald Trump ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในสมัยที่สอง อาจส่งผลดีและผลกระทบต่อการค้าระหว่างฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา ดังนี้
- ข้อดีที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ หากรัฐบาลใหม่ภายใต้การบริหารประเทศของนาย Donald Trump ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรมจะช่วยส่งเสริมตลาดผู้บริโภคชาวอเมริกันที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญต่อการส่งออกของฝรั่งเศสให้เพิ่มความต้องการสินค้าฝรั่งเศสที่เป็นที่ต้องการอยู่เดิมหรือเพิ่มสินค้าใหม่ ซึ่งจะช่วยทดแทนยอดการส่งออกของฝรั่งเศสที่ลดลงจากฝั่งตลาดผู้บริโภคจีน นอกเหนือจากนั้น นโยบายปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้และการลดภาษีให้กับผู้ประกอบการในประเทศของนาย Trump จะส่งผลดีต่อบริษัทฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้เช่นเดียวกัน
- บริษัทฝรั่งเศสที่ดำเนินการอยู่ในสหรัฐอเมริกามีทั้งขนาดเล็ก,กลางและใหญ่ มีการลงทุนรวมกันคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 325,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีจำนวนลูกจ้างทั้งสิ้นมากกว่า 750,000 คน ผู้ประกอบการฝรั่งเศสที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ตลาดสหรัฐอเมริกายังคงมีความน่าสนใจต่อการลงทุนมากกว่าประเทศอื่นๆ ถึงแม้ว่าหากเทียบกันแล้ว อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอื่นอาจจะสูงกว่าที่ร้อยละ 5-10 ในขณะที่สหรัฐอเมริกาอาจอยู่ที่ระดับคงที่ร้อยละ 2-3 เท่านั้น
- ในส่วนของผลกระทบ ได้แก่ นโยบายกีดกันทางการค้าของนาย Trump จะส่งผลให้ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเข้าสู่สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60-100 และทางฝั่งยุโรปอย่างต่ำร้อยละ 10 ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ซึ่งนาย Trump ได้กล่าวไว้ในช่วงหาเสียงว่า ทางฝั่งยุโรปไม่ซื้อทั้งสินค้ารถยนต์และสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริกา แต่กลับส่งมาขายเป็นจำนวนมาก
- สำหรับบริษัทฝรั่งเศสที่มีฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว ( สินค้าเคมีภัณฑ์, ผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์, วัสดุก่อสร้าง, อุปกรณ์เครื่องจักร, ห้างค้าปลีกและงานบริการ เป็นต้น) ย่อมไม่ได้รับผลกระทบ ต่างจากบริษัทที่ส่งออกสินค้าไปขายเพียงอย่างเดียวที่จะต้องรับภาระภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนี้ในอนาคต บริษัทฝรั่งเศสหลายแห่งจึงเริ่มปรับตัวเตรียมความพร้อมเห็นได้จากบริษัท Airbus ของฝรั่งเศสที่เป็นผู้ส่งออกเครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการบินรายสำคัญให้กับบริษัทคู่แข่ง Boeing ได้เริ่มขยายฐานการผลิตในสหรัฐอเมริกาโดยตั้งเป้าหมายเพิ่มปริมาณการผลิตสินค้าในประเทศ ซึ่งจะลดการนำเข้าสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการปรับขึ้นภาษีศุลกากร
- สินค้าฝรั่งเศสอื่นๆที่จะได้รับผลกระทบทางตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้าในอนาคตนี้มีมากมายหลากหลาย ได้แก่ สินค้าเครื่องนุ่งห่ม, สินค้าแฟชั่น, สินค้าเกษตรและอาหาร, สินค้ารถยนต์และอุปกรณ์ รวมถึงไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยคาดว่าแบรนด์ที่ตั้งราคาขายสินค้าไว้ในระดับบนอาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าแบรนด์ที่วางขายในตลาดค้าปลีกทั่วไป เนื่องจากมีคู่แข่งในระดับเดียวกันน้อยกว่าและมีส่วนต่างของราคาขายที่สูงกว่าทำให้มีโอกาสรักษาตลาดไว้ได้ แต่แบรนด์ระดับตลาดค้าปลีกที่มีราคาเป็นปัจจัยสำคัญจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
- นอกเหนือจากผลกระทบด้านลบทางตรงที่จะเกิดขึ้นต่อผู้ประกอบการฝรั่งเศสและยุโรปแล้ว ยังมีผลกระทบทางอ้อมที่ต่อเนื่องจากการที่ทางสหรัฐอเมริกากีดกันการนำเข้าสินค้าจากจีน ทำให้ทางจีนเองต้องหาตลาดใหม่และขยายตลาดมายังฝั่งยุโรปเพิ่มมากขึ้นโดยตั้งราคาขายสินค้าไว้ต่ำกว่าราคาสินค้าที่ผลิตในประเทศฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ตัวอย่างสินค้าที่ได้รับผลกระทบนี้แล้ว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์โซลาเซลล์, สินค้าจากเหล็กกล้าและรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
- แนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นเหล่านี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจฝรั่งเศสและยุโรปยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาตลาดจากประเทศอื่นๆมากเกินไปโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ในขณะที่เศรษฐกิจทางฝั่งสหรัฐอเมริกามีความพร้อมมากกว่าในทุกด้าน ทั้งจำนวนผู้บริโภคในประเทศที่มีขนาดใหญ่, มีแรงงานในประเทศ, มีแหล่งพลังงานเป็นของตัวเองและที่สำคัญคือไม่มีปัญหาจากสงครามดังเช่นในทวีปยุโรปขณะนี้
- นโยบายกีดกันทางการค้าของนาย Trump อาจจะส่งผลกระทบต่อฝรั่งเศสและทวีปยุโรปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้ แต่ก็อาจจะส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในระยะยาวได้เช่นเดียวกัน
ความคิดเห็น สคต.
- ดังที่กล่าวมาแล้วว่านโยบายกีดกันทางการค้าของนาย Trump อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าฝรั่งเศสทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่น รถไฟฟ้าแบรนด์จากประเทศจีนที่เข้ามาทำตลาดเชิงรุกในสหภาพยุโรปเนื่องจากโดนสหรัฐอเมริกากีดดันทางการค้า ซึ่งทางสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการปกป้องตลาดรวมถึงผู้ประกอบการ โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 รถไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตในสหภาพยุโรปต้องเสียภาษีจากเดิมเพิ่มขึ้นซึ่งแต่ละบริษัทจะมีอัตราที่ไม่เท่ากัน (แบรนด์ MG เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5, BYD ร้อยละ 17.7-18.8 เป็นต้น) และผู้บริโภคที่ซื้อแบรนด์เหล่านี้จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลที่เรียกว่าเงินโบนัสสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับแบรนด์รถไฟฟ้าอื่นๆที่ผลิตในสหภาพยุโรป
- อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากนโยบายจากรัฐบาลแล้ว ทางผู้ประกอบการฝรั่งเศสเองคงต้องเตรียมวางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเช่นเดียวกันซึ่งอาจหมายรวมถึงนโยบายการขยายตลาดการค้าและการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ดังนั้นช่วงเวลาต่อจากนี้อาจจะเป็นโอกาสอันดีในการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการฝรั่งเศสและไทยในการทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนการนำเข้าส่งออกสินค้าจากทั้งสองฝ่ายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางสคต.จะนำข้อมูลสินค้าที่เป็นที่ต้องการของฝรั่งเศสมารายงานให้ทราบในโอกาสต่อไป
ที่มาของข่าว
David Barroux
ข่าวจากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ Les Echos
https://www.lesechos.fr/idees-debats/editos-analyses/lelection-de-trump-bonne-ou-mauvaise-nouvelle-pour-les-entreprises-francaises-2130058