แนวโน้มความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในเยอรมนีกำลังซบเชาลง

ถึงแม้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศเยอรมนี แต่ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าในเยอรมนีกลับซบเซาลง รถยนต์ไฟฟ้ามียอดขายลดลงประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ในเดือนพฤษภาคม 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยจากยอดขายรถยนต์ทั้งสิ้น 236,000 คัน มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเพียง 13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
จากข้อมูลของกรมการขนส่งเยอรมนี (Kraftfahrt-Bundesamt) ระบุว่า เยอรมนีมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในเดือนเมษายน 2567 ประมาณ 29,700 คัน ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงที่มีการสนับสนุนจากรัฐและผู้ผลิต ที่ปรึกษาด้านการจัดการ EY กล่าวว่า “ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ายังคงลดลง แม้ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จะลดลงแล้วก็ตาม” จากการสังเกตพบว่าทั้งบุคคลทั่วไปและบริษัทเอกชนระงับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากเนื่องจากภาวะทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในเดือนพฤษภาคมมีการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ทั้งสิ้นประมาณ 236,000 คัน และในช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม มียอดการจดทะเบียนทั้งสิ้น 1.17 ล้านคัน ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณร้อยละ 5 นอกจากนี้ พบว่าสัดส่วนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย โดยสัดส่วนของรถยนต์ใหม่ที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 38 เปอร์เซ็นต์ ดีเซล 19 เปอร์เซ็นต์ รถไฮบริด 30 เปอร์เซ็นต์ และรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ระหว่างประเทศพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคโดยการเพิ่มสถานีชาร์จและราคาค่าไฟฟ้าที่ถูกลง

การลดจำนวนลงของสถานีชาร์จและรถยนต์ไฟฟ้า
จากข้อมูลการศึกษาของกระทรวงคมนาคมแห่งสหพันธ์ฯ (Verkehrministerium)เรื่องแนวโน้มการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระบุว่า สถานีชาร์จและรถยนต์ไฟฟ้าอาจมีความต้องการลดลงน้อยกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ในปี 2573 โดยมีการคำนวณว่าภายในปี 2573 แนวโน้มความต้องการจุดชาร์จสาธารณะ ประมาณ 380,000 – 680,000 จุด ทั้งนี้ รัฐบาลเคยคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 จะมีความต้องการจุดชาร์จสาธารณะ ประมาณ 1 ล้านจุด สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 15 ล้านแต่จากการประเมินตามข้อมูลการศึกษาของกระทรวงคมนาคม พบว่าอาจมีความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าลดลงเหลือเพียง 13.4 ล้านคัน ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่รัฐบาลเคยประเมินไว้

ความไม่สบายใจของผู้บริโภค
จากการสัมภาษณ์ Ferdinand Dudenhöffer ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ ได้กล่าวว่า “เราเห็นข่าวการเมืองในเชิงลบมากขึ้นส่งผลให้ผู้ซื้อระมัดระวังการซื้อรถยนต์มากขึ้น” ตัวอย่างเช่น การที่รัฐบาลกลางหยุดให้เงินสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างกะทันหันช่วงก่อนวันคริสต์มาสปีที่แล้ว หรือการที่ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป Von der Leyen ได้ประกาศว่าต้องการทบทวนระเบียบการห้ามใช้เครื่องยนต์สันดาปในสหภาพยุโรปภายในปี 2578 ซึ่งสิ่งนี้มีผลกระทบด้านลบต่อยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนี้ ปัจจุบันความไม่แน่นอนของอุตสาหกรรมยานยนต์มีแนวโน้มสูงขึ้นจากกรณีความขัดแย้งทางการค้ากับจีนที่กำลังจะเกิดขึ้น สหรัฐอเมริกาได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน เป็น 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว เนื่องจากอาจทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาด ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวก็อาจนำมาปรับใช้ในสหภาพยุโรปเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนถึง การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าพิเศษนี้ หากจีนมีการเพิ่มอัตราภาษีพิเศษเพื่อตอบโต้ ก็อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน เพราะปัจจุบันจีนอาจถือเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดโดยเฉพาะในด้านรถยนต์ไฟฟ้า
การสร้างความน่าเชื่อถือกลับมาอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ Dudenhöffer มองว่ายังเห็นโอกาสที่จะทำให้ผู้ซื้อกลับมาเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลกลางที่ชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ที่มา:
Frankfurter Allgemeine
Wirtschaftswoche
Tagesschau

thThai