นาย Albert Christmann ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Dr. Oetker ต้องการที่จะปรับทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ (ก่อตั้งในปี 1891ฉ ให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ โดยได้วางแผนในการใช้เงินจำนวนมหาศาลไปกับการลงทุนในอนาคต ซึ่งในปี 2023 บริษัทฯ ได้ลงทุนกว่า 171 ล้านยูโร หรือเพิ่มขึ้น 36% ไปกับธุรกิจสินค้าบริโภค โดยจากเงินลงทุนดังกล่าว พบว่า มากกว่า 100 ล้านยูโร เป็นการลงทุนในเยอรมนี สำหรับยอดขายในธุรกิจสินค้าบริโภคของบริษัทฯ สร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของยอดจำหน่ายทั้งสิ้น และในปี 2024 บริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ถือเป็นรุ่นที่ 4 และ 5 จำนวน 15 ราย ก็ประสงค์ที่จะใช้เงินมากขึ้นในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของบริษัทฯ และภายในปี 2027 บริษัทในเครือ ที่ล่าสุดมียอดจำหน่ายรวมกันมากถึง 6.5 พันล้านยูโร ก็ต้องการที่จะลงทุนมากถึง 1.5 พันล้านยูโร ด้านนาย Christmann และนาย Rudolf Louis Schweizer ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาซึ่งเป็นตัวแทนในรุ่นที่ 4 ได้ออกมาประกาศเรื่องดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่เมือง Bielefeld ว่า พวกเขาได้ร่วมมือกันนำเสนอตัวเลขสำหรับธุรกิจสินค้าบริโภค และได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์ระยะยาวของเครือบริษัท ซึ่งผลการประกอบธุรกิจส่วนที่ 2 ของบริษัทฯ อาทิ ธุรกิจโรงงานผลิตเบียร์ Radeberger, บริษัท Flaschenpost (ธุรกิจจัดส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค) และโรงแรมหรูอีก 2 แห่ง ก็จะเริ่มนำเสนออีกครั้งในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2024 (นับตั้งแต่สิ้นปี 2021 เป็นต้นมา เครือบริษัท Oetker Group ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน แยกออกจากกัน)
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานาย Christmann และนาย Schweizer ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ในแผนระยะกลาง ทุกแผนกในกลุ่มบริษัทฯ จะต้องทำกำไรมากขึ้น โดยทุกรูปแบบธุรกิจจะถูกนำมาตรวจสอบอย่างละเอียด นาย Christmann กล่าวว่า “จริง ๆ แล้ว เราสามารถที่จะขายทุกธุรกิจของบริษัทออกไปได้” และเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ กลุ่มบริษัท Dr. Oetker ได้ขายบริษัทธุรกิจขนส่ง Hamburg Süd และล่าสุดบริษัทก็ได้ขายธุรกิจธนาคาร Bankhaus Lampe ออกไปเรียบร้อยแล้ว ในส่วนธุรกิจอาหารของบริษัท Dr. Oetker ที่เน้นการจำหน่าย พิซซ่า ส่วนผสมและวัตถุดิบในการอบขนมหรือขนมปัง มูสลี่ และของหวาน ในปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายที่ 4.2 พันล้านยูโร หรือเติบโตขึ้น 6.9% (หลังจากปรับและหักลบตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และผลกระทบที่เกิดจากการรวมบัญชีเรียบร้อยแล้ว) อย่างไรก็ตาม ยอดขายในธุรกิจส่วนผสมและวัตถุดิบในการอบขนมหรือขนมปังลดลงเล็กน้อย ตามธรรมเนียมปฏิบัติบริษัทฯ จะไม่แจ้งผลกำไรให้ทราบ ซึ่งนาย Schweizer กล่าวถึงผลกำไรนี้ว่า “เพียงพอ” ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็พยายามแก้ไขปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ที่เกิดจากสินค้าจำพวกโกโก้และน้ำตาล โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น เหนือสิ่งอื่นใดบริษัทยังไม่สามารถส่งต่อราคาการผลิตที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้หมด และยังประสบกับปัญหาการลดการบริโภคสินค้าของผู้บริโภคอีกด้วย ตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมานาย Christmann ได้เป็น CEO คนแรก ที่เป็นคนนอก (ไม่ใช่คนในครอบครัว) ของกลุ่มบริษัท Dr. Oetker ซึ่งเขาต้องการที่จะปฏิรูปหลัก 3 ประการ ได้แก่
- จะต้องเป็นผู้นำด้านต้นทุน
นาย Christmann เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากลุ่มบริษัท Dr. Oetker Group มองว่า ตนเองเป็นผู้นำด้านคุณภาพมาโดยตลอด แต่ในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น พวกเขาจะลดการทิ้งสินค้าที่ซื้อไปแล้วลง และเปลี่ยนไปบริโภคสินค้า Private Label มากขึ้น โดยจะให้ความสำคัญกับสินค้าราคาพิเศษมากขึ้นไปด้วย ซี่งเหล่านี้ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนาย Werner Motyka ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ของ Munich Strategy ว่า “แม้ว่ายอดจำหน่ายในอุตสาหกรรมอาหารจะเพิ่มขึ้น แต่รายได้และปริมาณการขายกลับลดลงในช่วงเวลาที่กำลังซื้อลดลง” นาย Christmann สันนิษฐานว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะทรงตัวต่อไป อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัท Dr. Oetker ได้เปิดตัวโปรแกรมสร้างประสิทธิภาพของบริษัทฯ ขึ้น ในช่วง1 สัปดาห์ หลังจากที่รัสเซียเข้าโจมตียูเครน ทั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นและกำหนดว่าโปรแกรมนี้ จะสิ้นสุดลงในปี 2025 และจะสามารถช่วยประหยัดงบประมาณของบริษัทได้ถึง 250 ล้านยูโรต่อปี
- นอกเหนือจากที่เป็นผู้ผลิต…จะหันไปรับบทเป็นผู้ให้บริการด้วย
กลุ่มบริษัท Dr. Oetker ต้องการลดการพึ่งพิงการบริการจากธุรกิจอื่นๆ ให้มากขึ้น และต้องการที่จะควบคุมห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดไว้ในกำมือตัวเอง โดยในส่วนของ Radeberger Group บริษัทฯ ไม่เพียงแต่ผลิตเบียร์มาเป็นเวลานานเท่านั้น แต่จะหันไปเพิ่มบทบาทในด้านการค้าปลีกสินค้าเครื่องดื่ม และระบบโลจิสติกส์ให้มากขึ้น ในขณะที่ บริษัท Flaschenpost ปัจจุบันมีเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์อาหารมากถึง 3,500 รายการ ได้ทยอยขยายตัวไปสู่ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์อย่างช้า ๆ และยังทำให้บริษัทมีข้อมูลลูกค้าที่สำคัญ ซึ่งโดยปกติแล้วไม่สามารถที่จะได้รับจากผู้ค้าปลีกอาหารได้ “เงินสด คือ ราชา และ ข้อมูล คือราชินี (Cash is King, and Data is Queen)” คือวิธีที่นาย Christmann กล่าวไว้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม นาย Werner Motyka จาก Munich Strategy มองว่า การครอบครอง Flaschenpost เป็นเรื่องที่มีเหตุผล แม้ว่าธุรกิจจะไม่เติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม เนื่องจากเป็นโมเดลธุรกิจสมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล Flaschenpost จึงน่าจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างให้กับธุรกิจอื่น ๆ ของเครือบริษัท Dr. Oetker Group ต่อไปด้วย
- เน้นหาพันธมิตร
นาย Christmann ต้องการหาพันธมิตรเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนมากขึ้น โดยในปี 2018 เครือบริษัท Dr. Oetker ได้ร่วมทุน (Joint Venture) กับกลุ่มบริษัทผู้ผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์จากนม Gropper ซึ่งตอนนั้นบริษัทฯ ได้พัฒนาขนมหวาน เครื่องดื่มที่มีนม/ไร้นม ร่วมกัน โดยแต่ละเจ้าก็รับหน้าที่ทำการตลาดด้วยตัวเอง หลังจากนั้นก็มีความร่วมมืออีกครั้งกับผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ Foodservice บริษัท Transgourmet นาย Christmann เน้นย้ำว่า “เรื่องแบบนี้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เมื่อสิบปีก่อน” เพราะความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อบริษัทให้ยังคงสามารถรักษาตัวตนในตลาดที่การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เอาไว้ได้ ปัจจุบันบริษัท Dr. Oetker ทำงานใกล้ชิดกับเครือบริษัท Schwarz Group (Lidl, Kaufland) มากขึ้น นาย Christmann มองไปยังศูนย์หลักของเครือบริษัท Schwarz Group ณ เมือง Heilbronn เพราะตอนนี้ Schwarz Group กำลังพัฒนาสร้างศูนย์เทคโนโลยีที่เมือง Heilbronn ซึ่งต้องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Ai) ในธุรกิจค้าปลีกด้วย ในอนาคตเครือบริษัท Dr. Oetker Group ต้องการที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ให้เร็วขึ้น แต่จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่ได้ใช้งาน Ai มาร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์แต่อย่างใด ก็เป็นไปได้ที่บริษัทฯ จะผลักดันความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้ค้าปลีกออกไปอีกสำหรับ Dr. Oetker ก็เริ่มก้าวเข้ามาผลิตสินค้า private label สำหรับซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ แล้วด้วย จนถึงขณะนี้ มีเพียงผู้ผลิตขนมอบแช่แข็งบริษัท Coppenrath und Wiese ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือบริษัท Oetker Group เท่านั้นที่ได้ผลิต Private Label โดยในปี 2023 ที่ผ่านมาบริษัท Oetker เข้ารับช่วงกิจการผู้ผลิตขนมพิซซ่าแช่แข็ง Galileo จากเมือง Trierweiler ต่อ โดยบริษัท Galileo เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตสินค้า private label นั้นเอง
จาก Handelsblatt 13 พฤษภาคม 2567