thumbnail_Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Mark of certification awarded by the Ministry of Commerce, the Royal Thai Government to guarantee the authentic Thaitaste of Thai food products.

thumbnail_Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

A symbol of excellence and trusted quality that was established to add distinctive value.

thumbnail_DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

Thailand's most prestigious award given in recognition of outstanding Thai-design products.

thumbnail_output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

Prime Minister’s Export Award is an honorable accolade to the country’s outstanding exporters

medium_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

small_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

thumbnail_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

สมาพันธ์ผู้ประกอบการค้า E-Commerce แห่งฝรั่งเศส (FEVAD) เปิดเผยรายงานสรุปภาพรวมตลาดการค้าออนไลน์ประจำปี&nbsp;2024 โดยระบุว่า ผลประกอบการรวมจากทั้งการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการมีมูลค่าสูงถึง 175,000 ล้านยูโร จากจำนวนธุรกรรมทั้งหมด 2.6 พันล้านรายการในส่วนของยอดขายสินค้า มีมูลค่ารวม 66,900 ล้านยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่เคยทำได้ในปี 2021 ที่ 67,000 ล้านยูโร หลังจากที่มูลค่าการขายสินค้าอยู่ในระดับทรงตัวตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมาในปี&nbsp;2024&nbsp;ผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสจำนวน&nbsp;41.6 ล้านคน ได้ทำการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพิ่มขึ้น 2.2 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี&nbsp;2023 โดยมีจำนวนการซื้อเฉลี่ย 62 รายการต่อคนต่อปี และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อการซื้ออยู่ที่ 68 ยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของปีก่อนหน้ามูลค่าและจำนวนการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ &nbsp; พบว่าผู้บริโภคสินค้าออนไลน์กว่าร้อยละ&nbsp;60&nbsp;นิยมซื้อสินค้าในหมวดหมู่แฟชั่นและเครื่องแต่งกายเป็นหลัก ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม เช่น Shein, Temu และ&nbsp;Amazon&nbsp; &nbsp; แนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการซื้อขายสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 23 จากร้อยละ 21 ในปี&nbsp;2023 คิดเป็นมูลค่ารวม 7.7 พันล้านยูโรข้อมูลเชิงพฤติกรรมการบริโภคสินค้าแฟชั่นผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ อาจถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำคัญในการผลักดันการออกกฎหมายควบคุมการบริโภคสินค้า Fast Fashion ในฝรั่งเศสและสหภาพยุโรปให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp; หนึ่งในแนวทางที่อาจถูกพิจารณาในอนาคต ได้แก่ การจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า&nbsp;Fast Fashion ซึ่งเป็นมาตรการที่สหรัฐอเมริกาได้นำมาใช้แล้วบางส่วนนอกเหนือจากเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแล้ว สินค้าประเภทอื่นที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่&nbsp;รองเท้า (ร้อยละ&nbsp;49),&nbsp;ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและความงาม (ร้อยละ&nbsp;47)&nbsp;และ&nbsp;ของเล่น (ร้อยละ&nbsp;43)&nbsp; &nbsp; นอกจากนี้&nbsp;สินค้ามือสอง&nbsp;ยังเป็นสินค้าอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยม โดยพบว่าผู้บริโภคออนไลน์&nbsp;ร้อยละ&nbsp;51&nbsp;มีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้ามือสอง และในจำนวนนั้น&nbsp;ร้อยละ&nbsp;39&nbsp;เป็นสินค้าประเภท&nbsp;แฟชั่นและเสื้อผ้ามือสองความเห็นสคต.จากผลสำรวจของสมาพันธ์ผู้ประกอบการ E-commerce&nbsp;ฝรั่งเศส (FEVAD)&nbsp;แพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ในปี&nbsp;2024 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่<ul><li>อันดับที่&nbsp;1&nbsp;เว็บไซต์ Amazon&nbsp;มีปริมาณผู้เข้าชม&nbsp;41.05 ล้านคนต่อเดือน (36.88 ล้านคน ปี 2023)&nbsp;</li><li>อันดับที่ 2 &nbsp;เว็บไซต์&nbsp;Leboncoin&nbsp; มีปริมาณผู้เข้าชม&nbsp;29.63 ล้านคนต่อเดือน (27.57 ล้านคน ปี&nbsp;2023) ซึ่งขายสินค้ามือสองเป็นหลักและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับประกาศขายหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์&nbsp;</li><li>อันดับที่ 3 เว็บไซต์ E.Leclerc แพลตฟอร์มออนไลน์ของห้างค้าปลีก&nbsp;E.Leclerc มีปริมาณผู้เข้าชม&nbsp;20.58 ล้านคนต่อเดือน (16.63 ล้านคน ปี&nbsp;2023)&nbsp; ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นสองอันดับจากอันดับที่&nbsp;5&nbsp;ในปีก่อนหน้า</li></ul>คาดการณ์ว่าความนิยมในการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในฝรั่งเศสจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี &nbsp;โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ดังเช่น&nbsp;Tiktok&nbsp; Facebook&nbsp; Instagram&nbsp;ยังคงเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยในการส่งเสริมการขายได้เป็นอย่างดี&nbsp; ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคฝรั่งเศสร้อยละ&nbsp;75&nbsp;สามารถเข้าถึงสื่อต่างๆเหล่านี้ได้&nbsp; ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรพิจารณานำเสนอสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น &nbsp;และการใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายได้เป็นอย่างดีที่มาของข่าวข้อมูลจาก&nbsp;Les Echos&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.lesechos.fr/industrie-services/conso-distribution/e-commerce-dope-par-lhabillement-les-achats-en-ligne-sapprochent-de-leur-plus-haut-historique-2174538">https://www.lesechos.fr/industrie-services/conso-distribution/e-commerce-dope-par-lhabillement-les-achats-en-ligne-sapprochent-de-leur-plus-haut-historique-2174538</a>

ฝรั่งเศส

small_Press release - 2025 - 07 - 03 - ตลาด E-Commerce ฝรั่งเศสขยายตัวต่อเนื่องมาจากยอดขายสินค้าแฟชั่น.jpg

thumbnail_Press release - 2025 - 07 - 03 - ตลาด E-Commerce ฝรั่งเศสขยายตัวต่อเนื่องมาจากยอดขายสินค้าแฟชั่น.jpg

Press release - 2025 - 07 - 03 - ตลาด E-Commerce ฝรั่งเศสขยายตัวต่อเนื่องมาจากยอดขายสินค้าแฟชั่น.jpg

สคต. ณ กรุงปารีส (ฝรั่งเศส)

 ตลาด E-Commerce ฝรั่งเศสขยายตัวต่อเนื่องมาจากยอดขายสินค้าแฟชั่น

บังกลาเทศ

small_brri.jpg

thumbnail_brri.jpg

brri.jpg

สคต. ณ กรุงธากา (บังกลาเทศ)

นวัตกรรมข้าวพันธุ์ใหม่ของ BRRI บังกลาเทศ

สตาร์ทอัพจากมหาวิทยาลัยฮอกไกโด Float Meal มีแผนจะจัดตั้งฐานการผลิตพืชน้ำ “วูล์ฟเฟีย” (Wolffia) หรือ ไข่ผำ ในประเทศไทยภายในปี 2570 โดยวูล์ฟเฟียเป็นพืชน้ำจืดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ซึ่งจากการวิจัยล่าสุดพบว่ามีปริมาณโปรตีนสูง บริษัทจึงพัฒนาวูล์ฟเฟียในรูปแบบผงสำหรับใช้ในอาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการโปรตีนทางเลือกที่เพิ่มขึ้นในตลาด และกำลังได้รับความสนใจจากผู้ผลิตอาหารมากขึ้น ล่าสุด ทางบริษัทสามารถหาแหล่งที่ดินสำหรับการผลิตในประเทศไทยได้แล้ว โดยมีแผนจะสร้างบ่อเลี้ยงน้ำจืดหลายบ่อ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกวูล์ฟเฟียอย่างมีประสิทธิภาพ และเนื่องด้วยประเทศไทยมีสภาพภูมิอากาศอบอุ่น จึงเหมาะกับการเพาะปลูกพืชน้ำดังกล่าว โดยตั้งเป้าผลิตในรูปแบบผงให้ได้หลายพันตันต่อปี<figure class="image image-style-align-left"><img style="aspect-ratio:259/194;" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/1_2f7c496557.jpg" alt="1.jpg" width="259" height="194"></figure>Float Meal ก่อตั้งขึ้นในปี 2566 ขณะนี้บริษัทกำลังทำการวิจัยและทดลองที่โรงเรือนในแหล่งปลูกองุ่นบนเกาะฮอกไกโด โดยใช้เทคโนโลยีที่จดสิทธิบัตรซึ่งรวมถึงการควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนให้อยู่ระหว่าง 25–30 องศาเซลเซียส และการเพาะปลูกร่วมกับจุลินทรีย์เฉพาะชนิด เพื่อหาวิธีการผลิตที่ดีที่สุด ทางบริษัทได้เริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์วูล์ฟเฟียในรูปแบบผงให้กับผู้ผลิตอาหารภายในประเทศญี่ปุ่นแล้ว และมีคู่ค้ากว่า 40 ราย ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีการนำผงวูล์ฟเฟียไปผสมในอาหารหรือผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น วูล์ฟเฟียที่ผลิตในประเทศไทยจะถูกแปรรูปเป็นผงโดยบริษัทแปรรูปในท้องถิ่น และส่งกลับไปจำหน่ายให้กับผู้ผลิตอาหารในญี่ปุ่น<figure class="image image_resized image-style-side" style="width:35.58%;"><img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/474008973_626348913390820_7438318327190326203_n_724x1024_d254df7631.jpg" alt="474008973_626348913390820_7438318327190326203_n-724x1024.jpg" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_474008973_626348913390820_7438318327190326203_n_724x1024_d254df7631.jpg 110w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_474008973_626348913390820_7438318327190326203_n_724x1024_d254df7631.jpg 354w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_474008973_626348913390820_7438318327190326203_n_724x1024_d254df7631.jpg 530w" sizes="100vw" width="530"></figure> ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย วูล์ฟเฟีย (ไข่ผำ) เป็นพืชอาหารดั้งเดิมของไทย ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้แนะนำวูล์ฟเฟียให้เป็นซูเปอร์ฟู้ดของประเทศไทยในงาน “International Green Week 2025” ที่กรุงเบอร์ลิน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้กำหนดแนวทางการใช้วูล์ฟเฟียเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ สำหรับอาหารมนุษย์ และอาหารสัตว์ พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรนำระบบ การปฏิบัติทางเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) มาใช้ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; จากข่าวนี้แสดงให้เห็นว่า วูล์ฟเฟียเริ่มได้รับความสนใจในประเทศญี่ปุ่นในฐานะวัตถุดิบใหม่ แม้จะยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับบริษัทและองค์กรที่เกี่ยวข้องในไทยในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.&nbsp; ในฐานะแหล่งโปรตีนทางเลือก ประเทศไทยได้ส่งออกอาหารจากแมลงไปยังญี่ปุ่นแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น จิ้งหรีดกินได้ ซึ่งเป็นที่นิยมในญี่ปุ่นมากกว่าประเทศอื่น ๆ เหตุผลหลักคือประเทศไทยมีมาตรฐาน GAP สำหรับการเลี้ยงจิ้งหรีด ทำให้ผู้นำเข้าเชื่อมั่นในความปลอดภัย เช่นเดียวกัน สำหรับวูล์ฟเฟีย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้กำหนดมาตรฐานและสนับสนุนให้เกษตรกรขอรับรอง GAP ผู้ส่งออกของไทยควรเตรียมระบบให้สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้ และดำเนินการขอรับรอง GAP ก่อนจะเริ่มทำการตลาดในญี่ปุ่น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้มากขึ้น สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แปลและเรียบเรียงจาก หนังสือพิมพ์ Nikkei MJ ฉบับวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ภาพประกอบข่าวจากเว็บไซต์&nbsp; https://www.toonippo.co.jp/articles/-/1842427 https://food.dusit.ac.th/home/?p=7689 https://kovic.co.th/wolffia-super-food-of-the-future-world/

ญี่ปุ่น

ฉบับที่ 42 ประจําวันที่ 12-18 กรกฎาคม 2568-1.pdf

large_ไข่ผำ-2048x1103.jpg

medium_ไข่ผำ-2048x1103.jpg

small_ไข่ผำ-2048x1103.jpg

thumbnail_ไข่ผำ-2048x1103.jpg

ไข่ผำ-2048x1103.jpg

สคต. ณ กรุงโตเกียว (ญี่ปุ่น)

วูล์ฟเฟีย พืชลอยน้ำโปรตีนสูงจากปรเทศไทย

small_rice_market.jpg

thumbnail_rice_market.jpg

rice_market.jpg

โอกาสและความท้าทายในตลาดข้าวของบังกลาเทศ

จีน

small_summer Davos2025.1.png

thumbnail_summer Davos2025.1.png

summer Davos2025.1.png

สคต. ณ เมืองชิงต่าว (จีน)

แกะรอยวิสัยทัศน์จีนจากการประชุม Summer Davos 2025 

medium_p3_highlights.jpg

small_p3_highlights.jpg

thumbnail_p3_highlights.jpg

p3_highlights.jpg

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการบินในบังกลาเทศ

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงจาการ์ตา ขอส่งรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เดือน มกราคม-พฤษภาคม 2568 ตามเอกสารแนบ โดยสรุป เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี&nbsp;2567&nbsp;ดังนี้1. มูลค่าการค้าโดยรวมของอินโดนีเซีย มีส่วนเกินดุลการค้า&nbsp;15,375.2 ล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp; (ช่วงเดียวกันของปี 2567 เกินดุล&nbsp;13,061.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ&nbsp;9.68 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.142.&nbsp;อินโดนีเซียส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันและก๊าซ ไปยังจีนเป็นลำดับ 1 มูลค่า&nbsp;24,253.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 22.87 ของมูลค่าการส่งออก) อันดับ 2 สหรัฐอเมริกา 12,112.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 11.42) และอินเดียที่ 7,283.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 6.87) รวมทั้งนำเข้าจากจีนเป็นลำดับ 1 มูลค่า&nbsp;33,118.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ 39.92 ของมูลค่าการนำเข้า)&nbsp;อันดับ 2 ญี่ปุ่น&nbsp;6,312.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ&nbsp;7.61) และ อันดับ 3 สิงคโปร์&nbsp;3,889.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ร้อยละ&nbsp;4.69)&nbsp;3. มูลค่าการค้าระหว่างไทยและอินโดนีเซีย (มกราคม-พฤษภาคม 2568)&nbsp;จำนวน&nbsp;8,749.08 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยส่งออกไปอินโดนีเซีย 3,983.86 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า&nbsp;4,765.22 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเสียเปรียบดุลการค้า&nbsp;781.36 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกลดลงร้อยละ&nbsp;2.18 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 41.85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า&nbsp;(ไทยเสียดุลจากการนำเข้า&nbsp;HS Code&nbsp;71189010000 (KG): เหรียญทองคำจะใช้ชำระหนี้ตามกฎหมายได้หรือไม่ก็ตาม จำนวน 634 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือน ม.ค.-ก.พ. 2568)

อินโดนีเซีย

รายงานเดือน มิย 68 - Indonesia Economic Report June 2025.pdf

สคต. ณ กรุงจาการ์ตา (อินโดนีเซีย)

ภาพรวมเศรษฐกิจการค้าของอินโดนีเซียเดือนมิถุนายน 2568

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์นม (Dairy Products)ของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาเรียกร้องให้แคนาดาแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการนำเข้าชีส นม และผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ หรือที่เรียกว่า&nbsp;Supply Management ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะใช้มาตรการทางภาษีโดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาสูงถึง ร้อยละ 35 โดยมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้ หากสองฝ่ายไม่สามารถทำข้อตกลงที่อยู่ระหว่างการเจรจากันได้&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นอกจากการขู่ขึ้นภาษีนำเข้ากับแคนาดา ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการปกป้องทางการค้าของแคนาดา โดยเฉพาะระบบ&nbsp;Supply Management ซึ่งแคนาดาใช้ในการควบคุมการผลิตในประเทศและปกป้องสินค้านำเข้าโดยใช้กำแพงภาษี กับสินค้าการเกษตร 5 สินค้าหลัก ได้แก่ นม ชีส ไข่ ไก่ และ ไก่งวง&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผู้ส่งออกของสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลแคนาดาเปิดโอกาสให้ ผู้ค้าปลีก (retailers) และ ธุรกิจบริการอาหาร (food-service companies) ของแคนาดาเอง สามารถนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ ได้โดยปลอดภาษี โดยกฎของแคนาดาในปัจจุบันกำหนดให้มีเพียงผู้แปรรูป (Processors) และผู้จัดจำหน่าย (Distributors) เท่านั้นที่สามารถนำเข้าสินค้านมจากสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า หากนำเข้าไม่เกินโควตาที่กำหนด ซึ่งหากเกินโควตาภาษีอาจสูงกว่า ร้อยละ 250&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ในระบบปัจจุบัน สินค้านมบางรายการสามารถนำเข้าได้ในปริมาณจำกัดภายใต้ระบบโควตาภาษี (Tariff Rate Quota – TRQ) ฝ่ายสหรัฐฯ เห็นว่า&nbsp;Supply Management ของแคนาดาขัดต่อความตกลง&nbsp;USMCA เพราะไม่ได้เปิดตลาดตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ตั้งแต่ปี 2561 โดยสหรัฐฯ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อแคนาดาเมื่อปี 2564 และ 2565 แต่ต่อมาได้ถูกตัดสินว่า แคนาดาไม่ได้ละเมิดความตกลง&nbsp;USMCA เพราะความตกลงฯ ให้สิทธิแคนาดาในการใช้ดุลยพินิจในการจัดสรรโควตาตามกรอบที่ตกลงไว้&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผู้แทนสภาผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์นมสหรัฐฯ (U.S. Dairy Export Council) มองว่าการที่แคนาดาจัดสรรใบอนุญาตนำเข้าภายใต้ระบบโควตากับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภายในประเทศส่วนใหญ่ถือเป็นการปิดกั้นการแข่งขัน และยังอ้างว่า ผู้ค้าปลีกและผู้จัดจำหน่ายในแคนาดาเองก็เห็นตรงกันว่า ระบบปัจจุบันเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตภายในประเทศแคนาดาและจำกัดความหลากหลายของผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ ที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในแคนาดา&nbsp;นาย&nbsp;Santo Ligotti โฆษกของสภาผู้ค้าปลีกของแคนาดา (Retail Council of Canada – RCC) กล่าวว่า ระบบการออกใบอนุญาตโควตาภาษีในปัจจุบันนั้น ไม่ให้ความสำคัญกับผู้ค้าปลีกและผู้บริโภค โดยเห็นว่ารัฐบาลแคนาดามักให้ความสำคัญกับผู้ผลิตมากกว่าผู้บริโภคเสมอ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดา (Global Affairs Canada) ระบุว่า รัฐบาลแคนาดายึดมั่นในการคงไว้ &nbsp;ปกป้อง และสนับสนุนระบบ&nbsp;Supply Management รวมถึงจะยืนหยัดเพื่อเกษตรกร อุตสาหกรรม แรงงาน และชุมชนที่เกี่ยวข้อง &nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ปัจจุบันความตกลง&nbsp;USMCA ทำให้สหรัฐฯ สามารถขยายการเข้าถึงตลาดผลิตภัณฑ์นมของแคนาดาได้ราวร้อยละ 3.5 ของตลาดภายในประเทศ และมีมูลค่าการส่งออกมาแคนาดา 1.18 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 แต่ผู้ส่งออกสหรัฐฯ เห็นว่า ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ตามที่ตกลงไว้ ซึ่งข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ นอกจากนี้ พบว่าแม้ว่าสินค้าบางประเภท เช่น เนยและชีส จะมีอัตราการใช้โควตาสูงเนื่องจากมีอุปสงค์สูง แต่สินค้าบางชนิดยังคงนำเข้าต่ำกว่าเพดานที่อนุญาตมาก เช่น นม ไอศกรีม และโยเกิร์ต ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าสาเหตุเกิดจากการที่&nbsp;Processor ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในการนำเข้าไม่ต้องการนำเข้าสินค้าที่จะมาแข่งขันกับสินค้าที่ตนผลิต ซึ่งเป็นผลจากกฎเกณฑ์ของแคนาดาเอง ที่ออกแบบมาให้ผู้แปรรูปหรือผู้จัดจำหน่ายมีอำนาจควบคุมการนำเข้า&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและอาหารของแคนาดา (Agri-Food Canada) ระบุว่าตั้งแต่ความตกลง USMCA มีผลบังคับใช้ แคนาดาสูญเสียตลาดผลิตภัณฑ์นมภายในประเทศให้กับการนำเข้าจากต่างประเทศ ประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณการผลิตภายในประเทศ ขณะที่&nbsp;Dairy Farmers of Canada ประเมินว่าสัดส่วนที่สูญเสียจริงใกล้เคียงกับร้อยละ 18 ของการผลิตทั้งหมดในประเทศ โดย นาย&nbsp;David Wiens ประธานสมาคมเกษตรกรนมแห่งแคนาดา (Dairy Farmers of Canada)&nbsp;&nbsp;ความคิดเห็น สคต.&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;แคนาดาและสหรัฐฯ อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยแคนาดาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลการเจรจาจะทำให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าที่ใช้กับแคนาดาในที่สุด และก่อนหน้านี้แคนาดาก็ได้ยอมยกเลิกการเก็บภาษี Digital Sales Tax กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น&nbsp;Amazon Alphabet Meta ที่เข้ามาให้บริการในแคนาดา เพื่อทำให้การเจรจาการกับสหรัฐฯ ดำเนินต่อไป อย่างไรก็ดี ล่าสุด นายกรัฐมนตรีแคนาดา นายมาร์ค คาร์นีย์ ได้ออกมายอมรับกับสื่อว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่สหรัฐฯ จะยกเลิกภาษีนำเข้าโดยสิ้นเชิง และแคนาดาจะต้องถูกเก็บภาษีนำเข้าต่อไป แต่จะอยู่ในอัตราเท่าใดขึ้นกับผลการเจรจา ซึ่งมาตรการ&nbsp;Supply Management ของแคนาดาเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สหรัฐฯ&nbsp;ผลักดันให้แคนาดายกเลิก ซึ่งเป็นไปได้ยากเพราะแคนาดาเพิ่งผ่านกฎหมายที่ห้ามรัฐบาลในการนำมาตรการ Supply Management ไปแลกเปลี่ยนในการเจรจาความตกลงการค้าใดๆ และรัฐบาลแคนาดายืนยันว่าจะยังคงรักษามาตรการนี้ไว้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมและเกษตรกรในประเทศ อย่างไรก็ดี รัฐบาลแคนาดาอาจต้องหาจุดสมดุล โดยการปรับปรุงระบบจัดสรรโควตาให้โปร่งใสขึ้น ซึ่งไทยอาจใช้กรณีนี้เป็นกรณีศึกษาในการรับมือกับการเจรจาสหรัฐฯ ซึ่งมุ่งผลักดันการเปิดตลาดของคู่ค้าทั้งการลดอุปสรรคทั้งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี และติดตามผลการเจรจาของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ ก่อนการมีผลบังคับใช้ของภาษีใหม่ที่ทรัมป์ประกาศในวันที่ 1 สิงหาคม 2568&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ&nbsp;www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66&nbsp;2792&nbsp;6900)*****************************************

แคนาดา

small_Picture1.png

thumbnail_Picture1.png

Picture1.png

สคต. ณ นครโทรอนโต (แคนาดา)

มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมแคนาดาเป็นอุปสรรคหนึ่งในการปิดดีลกับสหรัฐฯ 

&nbsp;อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นในเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจกำลังเริ่มผลักภาระภาษีศุลกากรไปยังผู้บริโภค กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันอังคารที่ 15 ก.ค. 2025 ว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นไปตามที่นักเศรษฐศาสตร์จาก The Wall Street Journal คาดการณ์ไว้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานอยู่ที่ 2.9% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์เช่นกัน<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_cd42f1c8f2.png" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_cd42f1c8f2.png 214w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_cd42f1c8f2.png 500w" sizes="100vw" width="624" height="456" v:shapes="Picture_x0020_1" uploadprocessed="true">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราคาสินค้าในหมวดของใช้ในบ้านและอุปกรณ์ต่างๆ ปรับเพิ่มขึ้น 1% จากเดือนก่อนหน้า ราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ประเภทเครื่องเล่นวิดีโอและเครื่องเสียงเพิ่มขึ้น 1.1% ราคาของเล่นเพิ่มขึ้น 1.8% และราคาสินค้าเครื่องแต่งกายเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งสินค้าทั้ง 4 หมวดนี้มีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาษีศุลกากร ในทางตรงกันข้าม ราคารถยนต์ใหม่ลดลง 0.3% &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ ขณะที่ดัชนีราคาพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.2% ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 0.3% &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยทั่วไปนักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องกันว่าภาษีศุลกากรทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับมีความเห็นไม่ตรงกันว่าภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด หรือราคาสินค้าจะเริ่มเพิ่มขึ้นเมื่อใด หลายๆ บริษัทต่างเร่งซื้อสินค้าให้เต็มคลังก่อนที่ภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้ ทำให้สามารถชะลอการขึ้นราคาสินค้าในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ได้ง่ายขึ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยกระดับคำขู่ด้านภาษีต่อประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 สหรัฐฯ จะเริ่มเรียกเก็บภาษีนำเข้า 30% กับสินค้าจากเม็กซิโกและสหภาพยุโรป ขณะที่วันจันทร์ ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีนำเข้า 100% กับรัสเซีย หากไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพกับยูเครน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ประกาศดังกล่าวยังไม่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนโดยตรง แต่ความไม่แน่นอนทางการค้าที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อราคาสินค้าในระยะข้างหน้า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ประเมินว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะเป็นผู้รับภาระภาษีศุลกากรถึง 70% ของต้นทุนทั้งหมด โดยในเดือนพฤษภาคม 2025 Walmart ระบุว่าบริษัทจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าเพื่อตอบสนองต่อมาตรการภาษี ขณะที่แบรนด์เสื้อผ้า Ralph Lauren ก็เปิดเผยว่าอาจพิจารณาขึ้นราคาสินค้าเช่นกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาชิคาโก นายออสตัน กูลสบี กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า คำขู่ขึ้นภาษีที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การประเมินทิศทางเงินเฟ้อเป็นเรื่องยาก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงระมัดระวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกังวลว่าภาษีศุลกากรอาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วมากขึ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อน้อยลงในเดือนมิถุนายน เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านั้น ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลประกาศนโยบายภาษีที่กลับไปกลับมาหลายครั้งอย่างรวดเร็ว โดยในจากผลสำรวจธุรกิจขนาดเล็กโดยสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติ (National Federation of Independent Business) พบว่ามีเพียง 11% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าเงินเฟ้อเป็นความกังวลสูงสุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 ในขณะเดียวกัน สัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่ามีแผนจะขึ้นราคาสินค้ากลับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2024 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวได้ค่อนข้างดี แม้จะมีความตึงเครียดทางการค้า โดยในเดือนมิถุนายน 2025 นายจ้างสหรัฐฯ เพิ่มการจ้างงานถึง 147,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม การจ้างงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาครัฐระดับมลรัฐและท้องถิ่น ขณะที่การจ้างงานโดยภาคเอกชนลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ8 เดือน. &nbsp;สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก ข้อมูลอ้างอิง The Wall Street Journal &nbsp;

สหรัฐอเมริกา

large_หน้าปก (6).png

medium_หน้าปก (6).png

small_หน้าปก (6).png

thumbnail_หน้าปก (6).png

หน้าปก (6).png

สคต. ณ นครนิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา)

อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 2.7% เนื่องจากภาษีศุลกากรเริ่มมีผลต่อราคาสินค้า

small_img_0694.jpeg

thumbnail_img_0694.jpeg

img_0694.jpeg

ความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างบังกลาเทศและสหรัฐอเมริกา

เวียดนาม

News 14 - 18 July - Goods transported by Vietnam - China train.-Edit.pdf

medium_p1.webp

small_p1.webp

thumbnail_p1.webp

p1.webp

สคต. ณ นครโฮจิมินห์ (เวียดนาม)

รถไฟจีน–เวียดนามโต 283% หนุนการค้าอาเซียนขยายตั

News 14 - 18 July - The economic potential of provinces after merger.-Edit.pdf

small_435488_5211335691529466_21.jpg

thumbnail_435488_5211335691529466_21.jpg

435488_5211335691529466_21.jpg

เวียดนามปรับโครงสร้าง 34 จังหวัด เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค–ดึงดูดการลงทุน

ฮ่องกงประกาศความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางชั้นนำของโลกในด้านการเงินและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเน้นการพัฒนานโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนและนวัตกรรม เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก&nbsp;Mr. Christopher Hui Ching-yu ตำแหน่ง&nbsp;Secretary for financial Service and the Treasury กล่าวว่า ฮ่องกงสามารถเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ได้สำเร็จผ่านกระบวนการปฏิรูปและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และตลอดระยะเวลา&nbsp;3 ปีภายใต้การบริหารของรัฐบาลปัจจุบัน ฮ่องกงได้ให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ในด้านการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การพัฒนา และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม เศรษฐกิจฮ่องกงได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่น ส่งผลให้สามารถสร้างความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงระบบตลาดการเงินที่มั่นคง ในด้านตลาดหุ้น ฮ่องกงกำลังฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการซื้อขายที่คึกคักและยังสามารถดึงดูดเงินทุนผ่านการเสนอขายหุ้น&nbsp;(IPO) แก่ประชาชนทั่วไป ซึ่งในปีนี้ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำระดับโลกในด้านดังกล่าว&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; รัฐบาลฮ่องกงได้ดำเนินมาตรการปฏิรูปเชิงกลยุทธ์หลายประการ โดยหนึ่งในนั้นคือโครงการ "18C" ซึ่งถือเป็นช่องทางพิเศษที่มุ่งเน้นการสนับสนุนบริษัทด้านเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีนโยบายที่สนับสนุนหุ้นแนวคิดจีน (Chinese concept stocks) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระดมทุนให้กับองค์กรที่มีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างบทบาทของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พร้อมกันนี้รัฐบาลฮ่องกงยังได้ผลักดันแผนงานต่าง ๆ เพื่อดึงดูดบริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลกและสถาบันการเงินระหว่างประเทศ โดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและส่งเสริมระบบนิเวศที่เหมาะสำหรับสตาร์ทอัพ พร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้นกับเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่&nbsp;อาทิ ประเทศจีน และกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อเปิดโอกาสในการขยายช่องทางธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp; &nbsp;Mr. Hui กล่าวเพิ่มเติมว่าฮ่องกงกำลังพยายามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในฐานะศูนย์กลางการบริหารสินทรัพย์ระดับนานาชาติ โดยปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการรวมมูลค่าราว 40 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 312 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน (GDP) ของฮ่องกงถึงกว่า 10 เท่า โดยคาดการณ์ในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ฮ่องกงจะสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญของการบริหารสินทรัพย์ข้ามชาติระดับโลก&nbsp; &nbsp;ในขณะที่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาภายใต้แถลงการณ์นโยบายฉบับที่ 2 เกี่ยวกับการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัล ได้มีการเปิดตัวกรอบแนวทาง "LEAP" ที่เน้นยกระดับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมุ่งพัฒนาด้านกฎระเบียบ การสร้างแอปพลิเคชันใหม่ และส่งเสริมความร่วมมือในด้านทรัพยากรบุคคล เพื่อสนับสนุนให้ฮ่องกงก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของโลก และเน้นความเชื่อมโยงระหว่างจีนกับฮ่องกง รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาในด้านการเงิน และฟินเทค พร้อมทั้งดึงดูดบุคลากรระดับโลกเข้ามา เพื่อเสริมศักยภาพและความมั่นคงของตลาดการเงินในฮ่องกงความคิดเห็นของ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกงฮ่องกงกำลังเดินหน้าปรับตัวเพื่อรักษาสถานะผู้นำด้านการเงินและเทคโนโลยีดิจิทัล โดยอาศัยความแข็งแกร่งของระบบการเงินที่มั่นคงและการสนับสนุนจากภาครัฐในการผลักดันนวัตกรรมดิจิทัล หากกลยุทธ์ที่วางไว้สามารถดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ฮ่องกงจะยังคงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลที่ทรงอิทธิพลในระดับโลก สำหรับประเทศไทยการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจในด้านฟินเทค สถาบันการเงิน และการพัฒนาบริการด้านธนาคารดิจิทัล รวมถึงระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การศึกษาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลควบคู่กับโครงการสมาร์ทซิตี้ ยังถือเป็นแนวทางสำคัญที่สามารถประยุกต์ใช้กับพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสู่อนาคตเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของไทย&nbsp;แหล่งข้อมูล:&nbsp;Source URL :&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.thestandard.com.hk/market/article/305828/">https://www.thestandard.com.hk/market/article/305828/</a>

medium_fintech.jpg

small_fintech.jpg

thumbnail_fintech.jpg

fintech.jpg

สคต. ณ เมืองฮ่องกง (จีน)

ฮ่องกงมุ่งมั่นก้าวสู่ผู้นำโลกด้านการเงินและนวัตกรรมดิจิทัลอย่างยั่งยืน

สคต. ณ นครเซี่ยงไฮ้ (จีน)

แนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสในจีนปี 2568

เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ&nbsp;(สคต.)&nbsp;ณ นครคุนหมิง เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ&nbsp;(MOU)&nbsp;ว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิงปองไม้เปล่า (กวงป่าน) ระหว่างสมาคมกวงป่านปิงปองมณฑลยูนนานและ PingPong FUN for ALL Thailand ณ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจที่จะร่วมมือส่งเสริมกิจกรรมปิงปองรูปแบบ&nbsp; ไม้เปล่า&nbsp;(กวงป่าน) ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ และพร้อมที่จะจัดกิจกรรมเชิงธุรกิจร่วมกัน&nbsp;การลงนาม&nbsp;MOU ในครั้งนี้ สมาคมกวงป่านปิงปองมณฑลยูนนานจะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เชิญชวนนักกีฬาหรือเจ้าหน้าที่จากจีนเข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึงการฝึกอบรมกีฬาเทเบิลเทนนิสทั้งรูปแบบไม้เปล่าและรูปแบบปกติในประเทศไทย ในขณะเดียวกัน PingPong FUN for ALL Thailand &nbsp; &nbsp;จะผลักดันให้กิจกรรมกวงป่านปิงปองได้รับการยอมรับจากองค์กรด้านกีฬาทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ ซึ่งภายหลังการลงนาม&nbsp;MOU ฉบับดังกล่าวคาดว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการจัดกิจกรรมแข่งขันกวงป่านในรายการระดับนานาชาติด้วยพิธีลงนาม&nbsp;MOU ในด้านกีฬาปิงปองในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกของ สคต. ณ นครคุนหมิง ที่ได้สร้างความร่วมมือด้านกีฬาระหว่างไทยและจีน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรมและมิตรภาพของ<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_7a3fd5dd01.png" width="203" height="49" v:shapes="Picture_x0020_5" uploadprocessed="true" alt="image.png">ทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่วงการกีฬาของไทย และเพิ่มโอกาสเชิงธุรกิจกีฬาเทเบิลเทนนิสให้กับทั้งสองประเทศอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความคิดเห็น สคต.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; แม้ว่ากีฬาปิงปองจะยังไม่ใช่กีฬา&nbsp;Soft Power ของไทยอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับมวยไทย แต่มีการเล่นอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยไทยมีการจัดแข่งขันทั้งในระดับเยาวชน ไปจนถึงการแข่งขันระดับประเทศ ทำให้กีฬาปิงปองในไทยได้รับความนิยมและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน ทำให้กีฬาปิงปองของไทยพัฒนาก้าวไปสู่ระดับนานาชาติมากขึ้น สคต. ณ นครคุนหมิงมองว่า การผลักดันการส่งเสริมความร่วมมือในด้านกีฬาเป็นหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ความร่วมมือที่ดีของไทยและจีน และจะสามารถพัฒนาต่อยอดสร้างมูลค่าเชิงธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทยได้&nbsp;*****************************************แหล่งที่มา&nbsp;:&nbsp;สคต. ณ นครคุนหมิง

สคต.คุนหมิงปักหมุดความร่วมมือ Soft Power ปิงปองไทย - จีน จัดพิธีลงนาม MOU ณ นครคุนหมิง.pdf

medium_微信图片_20250711155849.jpg

small_微信图片_20250711155849.jpg

thumbnail_微信图片_20250711155849.jpg

微信图片_20250711155849.jpg

สคต. ณ นครคุนหมิง (จีน)

สคต.คุนหมิงปักหมุดความร่วมมือ Soft Power ปิงปองไทย - จีน  จัดพิธีลงนาม MOU ณ นครคุนหมิง สคต.คุนหมิง

ตลาดยางพาราไทยในจีน.pdf

small_微信图片_20250710130516.png

thumbnail_微信图片_20250710130516.png

微信图片_20250710130516.png

ตลาดยางพาราไทยในจีน สคต.คุนหมิง

ฟิลิปปินส์

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ มิถุนายน 2568.pdf

medium_Info GDP.png

small_Info GDP.png

thumbnail_Info GDP.png

Info GDP.png

สคต. ณ กรุงมะนิลา (ฟิลิปปินส์)

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประจำเดือนมิถุนายน 2568

รัฐบาลเคนยา โดยหน่วยงาน&nbsp;PPRA (Public Procurement Regulatory Authority)&nbsp;ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องระเบียบการจัดชื้อและจัดจ้างภาครัฐของเคนยา ได้ประกาศแบล็กลิสต์ บริษัท&nbsp;EAA Company Ltd&nbsp;หรือชื่อเดิม East Africa Automobile Services&nbsp;ซึ่งเป็นบริษัทจากญี่ปุ่นที่ได้รับสิทธิ์ตรวจสอบรถยนต์นำเข้าก่อนส่งมาที่เคนยา รายสำคัญมากที่สุดรายหนึ่งในเคนยา&nbsp;EAA Company Ltd (เดิม&nbsp;East Africa Automobile Services) ถูก&nbsp;PPRA แบนเป็นเวลา 3 ปี เมื่อเดือนมิถุนายน 2021 เนื่องจากใช้ เอกสารปลอม ในการยื่นประมูลการจัดชื้อรถยนต์ภาครัฐของ KEBS ปี 2011, 2014 และ 2019 ซึ่งตามคำพิพากษาของ PPRA และตามคำร้องของ&nbsp;Auditor General, PIC และ&nbsp;DCI ระบุความผิดว่า “บริษัทได้ใช้เอกสารปลอมเพื่อยื่นประมูล” ซึ่งต่อมาถึงแม้&nbsp;EAA จะยื่นฟ้องอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อหยุดการแบล็กลิสต์ ว่าบริษัททนายที่เป็นผู้ร้องในเรื่องนี้ต่อหน่วยงานของเคนยา เป็นทนายที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ว่าความในเคนยาได้ หรือ “ทนายปลอม” แต่ ศาลก็ได้ให้คำรับรองคำสั่งของ&nbsp;PPRA ยังคงมีผล และศาลแขวงได้ยกเลิกคำร้องของ EAA และตัดสินให้มีการคุ้มครองพิเศษต่อคำสั่งนี้เมื่อในเดือนกุมภาพันธ์ 2022&nbsp;ซึ่งตามรายงานของ&nbsp;Special Audit ของ&nbsp;Auditor General พบว่า&nbsp;EAA และ&nbsp;ATJ ได้ยื่นเอกสารปลอม เช่น เหตุผลในการอ้างว่ามีสาขาในหลายประเทศ จำนวนศูนย์ตรวจสภาพที่สูงเกินจริง และการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนและคุณสมบัติเทคนิคของรถยนต์ที่นำเข้ามาที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งนำมาซึ่งการสอบสวนของสำนักงานตำรวจของเคนยา (DCI) และ Interpol สรุปว่าบริษัททั้งสองรายมีพฤติการณ์ปลอมแปลงเอกสารและให้ข้อมูลบิดเบือนเพื่อให้ได้งานประมูล จึงได้มีคำสั่ง แบล็กลิสต์บริษัทตรวจสอบรถยนต์จากญี่ปุ่น ดังกล่าว&nbsp;&nbsp;โดยที่&nbsp;PPRA ได้มีคำสั่งล่าสุดที่มีแบล็กลิสต์บริษัทอีกครั้งในเดือน กรกฎาคม 2025 นี้ จะทำให้มีผลต่อบริษัท ดังนี้&nbsp;<ol><li>ห้ามบริษัทเข้าร่วมประมูลโครงการของรัฐในเคนยาเป็นเวลา 3 ปี</li><li>หน่วยงานมาตรฐานของเคนยา (KEBS) ขอให้&nbsp;PPRA ขยายผลแบล็กลิสต์ไปยังบริษัทญี่ปุ่นอีกแห่งคือ Auto Terminal Japan (ATJ) ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงเช่นกัน</li><li>ส่งผลต่อการประมูลในประเทศเพื่อนบ้านอื่นที่เป็นตลาดส่งรถยนต์มือสอง เช่น แทนซาเนีย และ ยูกันดา โดยประเทศเหล่านี้อาจปฏิเสธไม่ให้บริษัทที่ถูกแบล็กลิสต์ในเคนยามีสิทธิ์เข้าร่วมการตรวจรถยนต์นำเข้าที่ส่งไปประเทศเหล่านี้ได้อีกทาง</li><li>การตรวจสอบที่ไม่โปร่งใสส่งผลให้รถยนต์นำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐานอาจผ่านเข้าสู่ตลาด</li><li>การดำเนินการครั้งนี้ของเคนยา เป็นสัญญาณเข้มงวดเพื่อป้องกันการทุจริตในกระบวนการนำเข้ารถยนต์</li><li>ตลาดรถยนต์นำเข้าในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกอาจต้องเปลี่ยนผู้ให้บริการตรวจสอบจากญี่ปุ่นบางรายอาจส่งผลให้การนำเข้าล่าช้าหรือส่งผลให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นได้</li></ol>&nbsp;ความเห็นของ สคต.&nbsp;จากรายงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าในกรณีนี้คือรถยนต์มือสองจากต่างประเทศ โดยเคนยามีแหล่งนำเข้าสำคัญจาก ญี่ปุ่น&nbsp;UAE อังกฤษและไทย ตามลำดับ ซึ่งที่ผ่านจะต้องผ่านบริษัทที่ตรวจสอบสภาพรถยนต์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงาน&nbsp;PPRA (Public Procurement Regulatory Authority) ก่อนมีการนำเข้าทุกครั้ง ซึ่งในเรื่องนี้ อาจมีผลต่อความเชื่อมั่นถึงคุณภาพรถยนต์ที่มีการนำเข้ามาในเคนยาในระยะสั้น แต่ก็แสดงถึงความจริงจังให้ผู้นำเข้าจะต้องปฎิบัติตามระเบียบและมาตรฐานที่รัฐบาลกำหนดไว้ และเป็นการปราบปรามการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องด้วย&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ รถยนต์ที่มีการใช้งานในแอฟริกา เช่น เคนยา กว่า 80% เป็นรถยนต์มือสองที่นำเข้ามาจากต่างประเทศโดยรถยนต์จากญี่ปุ่นครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 70% ของรถที่มีการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยมได้แก่&nbsp;TOYOTA NISSAN HONDA มีรถยนต์ของยี่ห้อเหล่าถึงกว่า 75% ของรถที่ใช้งานในเคนยาในปัจจุบัน&nbsp;สำหรับประเทศไทยนั้น การส่งออกรถยนต์มือสองของไทยมีการนำเข้ามาประมาณปีละ 1,000-2,000 คันต่อปี (ประมาณการจากสอบถามกับผู้นำเข้าหลายราย) ซึ่งรถที่มีการนำเข้าจะเป็นรถกะบะมือสองยี่ห้อต่างๆ เช่น&nbsp;Toyota รุ่น&nbsp;Hilux และ&nbsp;Fortuner , Mitsubishi Starda และ&nbsp;Ford Ranger นอกจากนั้น แม้จะเป็นรถที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น หลายรุ่นก็เป็นรถที่ผลิตในประเทศไทย ทำให้มีความต้องการอะไหล่รถยนต์จากไทย เป็นจำนวนมากตามไปด้วย อย่างไรก็ดี การนำเข้าอะไหล่ส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้าโดยผ่าน&nbsp;Trader ในดูไบเป็นหลัก ไม่ได้นำเข้าตรงจากไทย เนื่องจากติดข้อจำกัดในเรื่อง ระยะเวลาในการขนส่งที่นานกว่า และเงื่อนไขการนำเข้าที่ต้องนำเข้าเต็มตู้ทำให้ไทยยังทำตลาดโดยตรงได้ไม่มากนัก สคต.เห็นว่า การที่ผู้ส่งออกสินค้าข้างต้นควรปรับเงื่อนไชในการส่งออกและปรับปรุงวิธีการส่งออกนั้น โดยให้รวมสินค้าได้หลายอย่างในตู้เดียวนั้น อาจเป็นทางออกที่จะทำให้ไทยสามารถส่งออกได้มากขึ้นได้ ทั้งนี้ จากข่าวข้างต้น อาจส่งผลกระทบให้ผู้ชื้อชะลอการนำเข้ารถยนต์มือสองจากญี่ปุ่นได้และอาจนำเข้าโดยตรงจากไทยมากขึ้น แต่คงเป็นผลกระทบในระยะสั้น ซึ่งผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องควรต้องใช้ความระมัดระวังในการจัดทำเอกสารและได้รับการตรวจสอบจากบริษัทที่ไม่อยู่ในรายชื่อแบล็กลิสต์บริษัทตรวจสอบรถยนต์ต่อไป และคงต้องหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพรถที่จะส่งออกมามากขึ้นด้วย ในส่วนของอะไหล่รถยนต์นั้น หากสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการและเงื่อนไขในการส่งออกให้เหมาะสมกับตลาดมากขึ้น ก็อาจจะสามารถขยายการส่งออกสินค้ามาเคนยาโดยตรงได้มากขึ้นในอนาคต&nbsp;&nbsp;ผู้ส่งออกหรือนักธูรกิจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่&nbsp;E-mail:&nbsp;ของสำนักงานฯ ที่&nbsp;<a href="mailto:info@ocanairobi.co.ke">info@ocanairobi.co.ke</a>&nbsp;&nbsp;ที่มา :&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.businessdailyafrica.com/">https://www.businessdailyafrica.com/</a>

เคนยา

แปล_วิเคราะห์_2025_ July_ข่าว3.docx-เคนยาสั่งแบล็กลิสต์บริษัทตรวจสอบรถยนต์มือสองจากญี่ปุ่นอีกครั้ง.pdf

medium_2car.jpg

small_2car.jpg

thumbnail_2car.jpg

2car.jpg

สคต. ณ กรุงไนโรบี (เคนยา)

เคนยาสั่งแบล็กลิสต์บริษัทตรวจสอบรถยนต์มือสองจากญี่ปุ่นอีกครั้ง

&nbsp;<figure class="image"><img alt="Screenshot 2568-07-15 at 13.13.58.png" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/Screenshot_2568_07_15_at_13_13_58_151c274b77.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_Screenshot_2568_07_15_at_13_13_58_151c274b77.png 186w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_Screenshot_2568_07_15_at_13_13_58_151c274b77.png 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_Screenshot_2568_07_15_at_13_13_58_151c274b77.png 750w" sizes="100vw" width="750"></figure>&nbsp;<ul style="padding-left:48px;"><li>การเข้าร่วมกลุ่ม&nbsp;BRICS&nbsp;อย่างเป็นทางการของอียิปต์เมื่อต้นปี 2567&nbsp;ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับอียิปต์ ทั้งในด้านนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มสมาชิกให้กับกลุ่ม BRICS&nbsp;เท่านั้น แต่เป็นการเติมเต็มยุทธศาสตร์เชิงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่มุ่งลดการพึ่งพิงขั้วอำนาจเดิม และเสริมสร้างบทบาทในฐานะผู้เล่นหลักในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ของอียิปต์ &nbsp;การประชุมสุดยอด&nbsp;BRICS&nbsp;ครั้งที่&nbsp;17&nbsp;ที่ริโอเดจาเนโร บราซิล เมื่อวันที่ 6-7&nbsp;กรกฎาคม&nbsp;2568&nbsp;จึงเป็นเวทีแรกที่อียิปต์ได้แสดงวิสัยทัศน์และจุดยืนในฐานะสมาชิก BRICS&nbsp;อย่างเต็มตัว</li><li>แรงจูงใจสำคัญของการเข้าเป็นสมาชิก BRICS&nbsp;ของอียิปต์ คือ ต้องการจะผนึกกำลังทางเศรษฐกิจกับประเทศสมาชิกที่มีขนาดตลาดใหญ่อยู่แล้ว โดยในปี&nbsp;2565&nbsp;มูลค่าการค้ารวมระหว่างอียิปต์กับประเทศ BRICS (เดิม) พุ่งสูงถึง&nbsp;36.5&nbsp;พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง&nbsp;25%&nbsp;ของการค้ารวมทั้งหมดของอียิปต์ แม้จะเผชิญความท้าทายในปีต่อมา แต่ในปี&nbsp;2566&nbsp;มูลค่าการค้ายังคงรักษาระดับไว้ที่ 31.5&nbsp;พันล้านดอลลาร์สหรัฐ &nbsp;อีกทั้งการเพิ่มสมาชิกใหม่เข้ามาในกลุ่ม&nbsp;BRICS+&nbsp;ซึ่งรวมถึงประเทศเศรษฐกิจสำคัญอย่างสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบีย คาดว่าจะผลักดันมูลค่าการค้ารวมให้เพิ่มขึ้นในระดับ&nbsp;45&nbsp;พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มนี้คือฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของอียิปต์ในปัจจุบันและอนาคต</li><li>นอกจากนี้ อียิปต์ยังใช้การเข้าร่วม&nbsp;BRICS&nbsp;เป็นโอกาสในการแสดงบทบาททางการเมืองและสร้างสมดุลอำนาจบนเวทีโลก โดยในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอียิปต์ได้ป่าวประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนใน 3&nbsp;ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) การเรียกร้องให้ปฏิรูประบบการเงินโลก โดยลดการพึ่งพิงสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และส่งเสริมการชำระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่นระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินของอียิปต์ (2)&nbsp;การเร่งการเติบโตและการพัฒนาที่ยั่งยืนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเน้นความร่วมมือในภาคส่วนสำคัญ เช่น พลังงาน การผลิต โครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการพัฒนาและถ่ายทอด เทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และการสนับสนุนการจัดหาเงินทุนที่เข้าถึงง่ายสำหรับประเทศกำลังพัฒนาผ่านบทบาทของธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB)&nbsp;และ (3) การแสดงจุดยืนอันแข็งขันในประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา อียิปต์เรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันทีและปฏิเสธการพลัดถิ่นของชาวปาเลสไตน์อย่างเด็ดขาด บทบาทนี้สะท้อนให้เห็นว่า&nbsp;BRICS&nbsp;เป็นมากกว่ากลุ่มเศรษฐกิจ แต่เป็นเวทีที่ช่วยเสริมสร้างเสียงของกลุ่มประเทศโลกใต้ในประเด็นที่เปราะบางและซับซ้อน</li></ul>ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะ<ul><li>BRICS+&nbsp;คือตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง ด้วยจำนวนประชากรมหาศาลและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไทยอาจใช้โอกาสนี้เพื่อผลักดันสินค้าส่งออกของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากในตลาดอียิปต์และกลุ่ม BRICS</li><li>ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (NDB)&nbsp;เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศสมาชิก การที่อียิปต์เป็นสมาชิก&nbsp;NDB&nbsp;จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยที่เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และพลังงานหมุนเวียน สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในอียิปต์และประเทศสมาชิก&nbsp;BRICS&nbsp;อื่น ๆ ได้มากขึ้น </li><li>ประเทศไทยอาจพิจารณาส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของไทยในอียิปต์หรือการลงทุนของอียิปต์ในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยว พลังงานหมุนเวียน และการเกษตรแปรรูป </li><li>ผู้ประกอบการไทยอาจพิจารณาสำรวจช่องทางการค้าใหม่ๆ ที่เกิดจากการรวมกลุ่มของ&nbsp;BRICS+&nbsp;รวมถึงการศึกษาข้อตกลงทางการค้าและลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อให้เกิดความเข้าใจในข้อจำกัดและสิทธิประโยชน์ในการทำการค้าระหว่างประเทศกับกลุ่ม BRICS ต่อไป&nbsp;</li></ul>ที่มา<ul style="list-style-type:disc;padding-left:48px;"><li>BRICS countries account for 25% of Egypt's total trade in 2022: CAPMAS. (<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.google.com/search?q=https://english.ahram.org.eg/NewsContent/3/12/509530/Business/Economy/BRICS-countries-account-for--of-Egypts-total-trade.aspx">https://english.ahram.org.eg/NewsContent/3/12/509530/Business/Economy/BRICS-countries-account-for--of-Egypts-total-trade.aspx</a>)</li><li>BRICS expansion implications for global trade, investment: Egyptian FM - China.org.cn. (<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.google.com/search?q=http://www.china.org.cn/world/Off_the_Wire/2024-01/05/content_117006857.htm">http://www.china.org.cn/world/Off_the_Wire/2024-01/05/content_117006857.htm</a>)</li><li>Egypt's trade with BRICS reached $31.5B in 2023 - Ahram Online. (<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.google.com/search?q=https://english.ahram.org.eg/NewsContent/3/12/521759/Business/Economy/Egypts-trade-with-BRICS-reached-in-.aspx">https://english.ahram.org.eg/NewsContent/3/12/521759/Business/Economy/Egypts-trade-with-BRICS-reached-in-.aspx</a>)</li><li>Egypt's partnership with BRICS boosts the value of local currency: Expert - Egypt Independent. (<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.egyptindependent.com/egypts-partnership-with-brics-boosts-the-value-of-local-currency-expert/">https://www.egyptindependent.com/egypts-partnership-with-brics-boosts-the-value-of-local-currency-expert/</a>)</li></ul>&nbsp;&nbsp;

อียิปต์

w=900,h=601.avif

สคต. ณ กรุงไคโร (อียิปต์)

อียิปต์ในเวที BRICS: บทบาทเชิงรุกและโอกาสสำหรับเศรษฐกิจโลก

รัฐบาลเตือนผู้ค้าข้าวหลังพบการกดราคาข้าว RV.pdf

small_รัฐบาลเตือนผู้ค้าข้าวหลังพบการกดราคาข้าวเปลือกกระทบเกษตรกร.jpg

thumbnail_รัฐบาลเตือนผู้ค้าข้าวหลังพบการกดราคาข้าวเปลือกกระทบเกษตรกร.jpg

รัฐบาลเตือนผู้ค้าข้าวหลังพบการกดราคาข้าวเปลือกกระทบเกษตรกร.jpg

รัฐบาลเตือนผู้ค้าข้าวหลังพบการกดราคาข้าวเปลือกกระทบเกษตรกร

USDA คาดว่าภาคค้าปลีกอาหารของฟิลิปปินส์จะขยายร้อยละ 7 RV.pdf

medium_usda.png

small_usda.png

thumbnail_usda.png

usda.png

กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) คาดว่า ภาคค้าปลีกอาหารของฟิลิปปินส์จะขยายตัวร้อยละ 7

&nbsp;เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน&nbsp; 2568 รถไฟทรานส์แคสเปียน (กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน – กรุงบากู ประเทศอาร์เซอร์ไบจัน) ขบวนแรก ออกเดินทางจากเขตฝางชาน (Fangshan) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน โดยบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน&nbsp;104&nbsp;TEUs ซึ่งบรรจุสินค้า เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ และ อุปกรณ์เครื่องจักร มูลค่ากว่า 15 ล้านหยวน (กว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยรถไฟขบวนนี้วิ่งออกจากกรุงปักกิ่ง ผ่านไปยังคาซัคสถาน โดยผ่านด่านตรวจ&nbsp;Khorgos ชายแดนคาซัคสถาน ก่อนส่งต่อไปถึงท่าเรือ&nbsp;Aktau ของคาซัคสถานซึ่งเป็นบริเวณที่ติดทะเลแคสเปียน จากนั้นสินค้าจะถูกขนส่งด้วยเรือข้ามฟากจากท่าเรือ&nbsp;Aktau ของคาซัคสถาน ไปยัง ท่าเรือ&nbsp;Alat ในอาร์เซอร์ไบจาน จากนั้นจึงถูกส่งต่อด้วยรถไฟไปยังกรุงบากู เมืองหลวงของประเทศอาร์เซอร์ไบจาน&nbsp;&nbsp;การขนส่งสินค้าจากกรุงปักกิ่งไปกรุงบากูครั้งนี้&nbsp;ใช้ระบบขนส่งทางราง-ทางทะเล-ทางราง หลายรูปแบบ ซึ่งครอบคลุมระยะทางกว่า 8,000 กิโลเมตร และ ใช้เวลาประมาณ 15 วัน โดยเมื่อสินค้าถึงกรุงบากูแล้ว สินค้าบางส่วนจะถูกส่งต่อไปยังจอร์เจีย ตุรกี เซอร์เบีย และประเทศอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;เส้นทางขนส่งระหว่างประเทศทรานส์แคสเปียนดังกล่าวนี้ทำหน้าที่เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าระหว่างจีนและยุโรป ซึ่งลักษณะการขนส่งหลายรูปแบบ ของเส้นทางฯ นี้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายการบริการขนส่งที่ครอบคลุมไปยังประเทศต่างๆ ตามแนวทะเลแคสเปียน ทะเลดำ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตลอดจนยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออก ได้อีกด้วย&nbsp;เส้นทางขนส่งระหว่างประเทศทรานส์แคสเปียนนี้นับเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าอีกเส้นทางหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับ ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทย&nbsp; โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า&nbsp; ปัจจุบันมีเส้นทางรถไฟลาว-จีน ที่สามารถขนส่งสินค้าจากไทยไปจีนได้ ซึ่งเมื่อสินค้าไทยไปถึงจีนแล้ว ก็สามารถส่งต่อผ่านเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศทรานส์แคสเปียนไปยังคาซัคสถาน อาเซอร์ไบจาน และประเทศอื่นๆ (รวมถึงประเทศในยุโรป) ได้ด้วย&nbsp; ดังนั้น หากผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทยรายใดที่ส่งสินค้าเข้าไปในตลาดจีนอยู่แล้ว และสนใจที่จะขยายตลาดไปยังคาซัคสถาน อาเซอร์ไบจาน และประเทศอื่นๆ (รวมถึงประเทศในยุโรป) ก็สามารถพิจารณาใช้ประโยชน์จากเส้นทางรถไฟทรานส์แคสเปียนได้ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่มา:&nbsp;- First China-Europe Train Departs on Trans-Caspian Corridor (https://astanatimes.com/2025/07/first-china-europe-train-departs-on-trans-caspian-corridor/#:~:text=ASTANA%20%E2%80%93%20The%20first%20Trans%2DCaspian,%242%20million)%2C%20Xinhua%20reported)&nbsp;- Beijing launches first China-Europe freight train to cross Caspian Sea (https://english.www.gov.cn/news/202506/30/content_WS68625a82c6d0868f4e8f3bff.html)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;

รัสเซีย

สคต. ณ กรุงมอสโก (รัสเซีย)

เส้นทางรถไฟทรานส์แคสเปียนเริ่มออกเดินทาง  ผ่านคาซัคสถานเชื่อมจีนและยุโรป

<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_d994a66820.png" alt="image.png" width="610" height="213" v:shapes="Picture_x0020_2" uploadprocessed="true" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_d994a66820.png 110w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_d994a66820.png 353w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_image_d994a66820.png 530w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/large_image_d994a66820.png 1357w" sizes="100vw">“ผลไม้แช่แข็ง ราคาเพิ่มขึ้น 80% ในรอบ 5 ปี”ราคาของผลไม้แช่แข็งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลให้ราคาผลไม้สดสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับขึ้นราคา แต่ความต้องการของผู้บริโภคก็ยังเพิ่มสูงขึ้นผลไม้แช่แข็งกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ เพราะสามารถนำมาปรับแต่งได้ง่าย และถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ความนิยมของเครื่องดื่มสมูทตี้ก็มีส่วนช่วยเพิ่มความต้องการผลไม้แช่แข็งด้วยเช่นกันยอดขายผลไม้แช่แข็งในร้านค้าทั่วประเทศยังคงเติบโต จากข้อมูลการขายในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วญี่ปุ่น พบว่าความต้องการเพิ่มขึ้นถึง 1.5 เท่าระหว่างปี 2564 ถึงปัจจุบัน ขณะที่สถาบันวิจัยคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตจาก 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2568 เป็น 824 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2576<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_210fb48761.png" width="270" height="180" align="left" hspace="15" v:shapes="_x0000_s1030" uploadprocessed="true" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_210fb48761.png 234w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_210fb48761.png 500w" sizes="100vw">จุดเริ่มต้นของการขยายตัวในตลาดผลไม้แช่แข็งคือ “สมูทตี้จากร้านสะดวกซื้อ” โดยเฉพาะเมื่อร้าน&nbsp;Lawson เปิดตัว “กรีนสมูทตี้” ในปี 2558 ซึ่งต่อมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปี 2561&nbsp;<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_96e38788b9.png" width="210" height="265" align="right" hspace="15" v:shapes="Picture_x0020_4" uploadprocessed="true" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_96e38788b9.png 124w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_96e38788b9.png 397w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_image_96e38788b9.png 595w" sizes="100vw">จากนั้นในปี 2566 ร้าน 7 –&nbsp;Eleven ก็เริ่มวางจำหน่ายสมูทตี้เช่นกัน โดยสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพมีบางบริษัทที่หันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจผลไม้แช่แข็งมากขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัท&nbsp;Aohata ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์ผลไม้แช่แข็ง ให้เพิ่มจาก 2.2% (ตามผลประกอบการปีงบประมาณ&nbsp;2567) เป็น 10% ภายในปี 2571สาเหตุที่บริษัทต้องเร่งขยายตลาดใหม่คือ ตลาดผลิตภัณฑ์หลักอย่าง “แยม” กำลังหดตัวลง&nbsp;Aohata จึงพยายามผลักดันยอดขายของผลิตภัณฑ์ผลไม้แช่แข็งแบรนด์ “Kuchidoke Frozen” ให้เติบโตขึ้น&nbsp;<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_c958772acb.png" width="258" height="287" align="left" hspace="15" v:shapes="_x0000_s1028" uploadprocessed="true" alt="image.png"><img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_2dbacbc12c.png" width="252" height="289" align="left" hspace="15" v:shapes="Picture_x0020_7" uploadprocessed="true" alt="image.png">ไม่เพียงแต่ใช้สำหรับสมูทตี้เท่านั้น แต่ยังเป็นที่นิยมในการใส่ในน้ำโซดา ชา หรือใช้เป็นท็อปปิ้งของแพนเค้กและของหวานต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติและความสวยงามในช่วง&nbsp;5 ปี ระหว่างปี&nbsp;2563 ถึง&nbsp;2568 ราคาของผลไม้แช่แข็งได้เพิ่มขึ้นถึง&nbsp;1.79 เท่า บริษัท&nbsp;Fruta Fruta ซึ่งดำเนินธุรกิจนำเข้าและจัดจำหน่ายผลไม้ ได้ปรับราคาสินค้า "อะซาอีโบลในบ้านคุณ" (おうちでアサイーボウル) ต่อแพ็คขึ้นในเดือนตุลาคม&nbsp;2567 โดยมีราคาสูงกว่าตอนเปิดตัวในปี&nbsp;2555 ถึง&nbsp;20% แม้ยอดขายจะลดลงในช่วงแรกหลังการปรับราคา แต่ปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภคได้กลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยญี่ปุ่นนำเข้าผลไม้แช่แข็งจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยระหว่างปี 2564 ถึง 2567 ปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น 126% ในเชิงปริมาณ และเพิ่มขึ้น 148% ในเชิงมูลค่าสินค้าที่นำเข้าหลัก ได้แก่ มะม่วง สตรอว์เบอร์รี สับปะรด และผลไม้อื่น ๆ โดยที่ มะม่วงครองสัดส่วนสูงสุดถึง 80% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมดจากไทย ความต้องการที่มั่นคงจากญี่ปุ่นนี้ได้ช่วยสนับสนุนรายได้ของเกษตรกรไทย โรงงานแปรรูป และผู้ส่งออกอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นไม่ได้พึ่งพาการนำเข้าจากไทยเพียงประเทศเดียว แต่ยังนำเข้าผลไม้แช่แข็งจากประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอเมริกาใต้ด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคา และไทยอาจสู้ไม่ได้ดังนั้น การรักษาคุณภาพและสร้างแบรนด์ผ่านมาตรฐานสินค้าที่สูง รวมถึงการพัฒนาและรักษาระบบโซ่ความเย็น (Cold Chain) ให้มีเสถียรภาพ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาและขยายปริมาณการส่งออกของไทยในระยะยาว<img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_5f26f4652d.png" width="622" height="288" v:shapes="Picture_x0020_5" uploadprocessed="true" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_5f26f4652d.png 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_5f26f4652d.png 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_image_5f26f4652d.png 750w" sizes="100vw"><img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_42481d7f83.png" width="622" height="295" v:shapes="Picture_x0020_6" uploadprocessed="true" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_42481d7f83.png 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_42481d7f83.png 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_image_42481d7f83.png 750w" sizes="100vw">ข้อคิดเห็น/เสนอแนะของ สคต.&nbsp;ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายตลาดและเริ่มต้นการค้ากับลูกค้าใหม่ในญี่ปุ่น สิ่งสำคัญคือผู้ผลิตต้องมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยอาหารในระดับสากล เช่น&nbsp;HACCP และ&nbsp;GMP พร้อมทั้งต้องมีระบบ การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน โดยต้องระมัดระวังการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชไม่ให้เกินปริมาณที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยสุขอนามัยอาหารของญี่ปุ่น ผู้ส่งออกจึงควรหารือกับผู้นำเข้า เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่าสินค้าเป็นไปตามข้อกำหนด และควรเตรียมแนวทางรับมือไว้ล่วงหน้าในกรณีที่เกิดปัญหาด้านกฎหมายหรือการตรวจสอบ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;นอกจากรสชาติแล้ว สิ่งที่ผู้ซื้อชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญอย่างมากคือ “ความน่าเชื่อถือ” ซึ่งรวมถึงความสามารถในการจัดส่งสินค้าอย่างสม่ำเสมอในปริมาณที่แน่นอน &nbsp; และการตอบกลับหรือสื่อสารกับผู้ซื้ออย่างใส่ใจและรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นแปลและเรียบเรียงจากหนังสือพิมพ์&nbsp;Nikkei Shimbun ฉบับวันที่&nbsp;1 กรกฎาคม 2568ภาพประกอบข่าวจากเว็บไซต์https://travel.marumura.com/recommend-smoothie-in-lawson-japan/https://www.planmyjapan.com/7-eleven-smoothies-japan/

ฉบับที่ 41 ประจำวันที่ 5 -11 กรกฎาคม 2568.pdf

small_4.jpg

thumbnail_4.jpg

4.jpg

ผลไม้แช่แข็ง ราคาเพิ่มขึ้น 80% ในรอบ 5 ปี

สหรัฐอเมริกานำเข้าสินค้าผ่านตู้คอนเทนเนอร์ในเดือนมิถุนายน 2568 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน&nbsp;2,217,675 TEUs (หน่วยตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน&nbsp;20 ฟุต) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากเดือนพฤษภาคม 2568 แต่ต่ำกว่าระดับของเดือนมิถุนายนในปีที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5&nbsp;สำหรับการนำเข้าจากจีนในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมายังคงซบเซาเช่นกัน อยู่ที่&nbsp;639,300 TEUs เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงร้อยละ&nbsp;0.4 นับตั้งแต่สหรัฐฯ กับจีนได้มีการพักสงบศึกทางการค้าเป็นระยะเวลา&nbsp;90 วัน ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม และกำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 10 สิงหาคม 2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้าจากจีนที่สูงขึ้น และการยกเลิกข้อยกเว้น&nbsp;de minimis (การยกเว้นภาษีสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800&nbsp; เหรียญสหรัฐ) &nbsp;&nbsp;&nbsp;หมวดสินค้านำเข้าหลักจากจีนในเดือนมิถุนายน ได้แก่&nbsp;<ul style="list-style-type:circle;padding-left:96px;"><li>เฟอร์นิเจอร์และเครื่องนอน (HS-94) จำนวน&nbsp;96,347 TEUs ลดลงร้อยละ&nbsp;36.9 เมื่อเทียบกับ&nbsp;เดือนมิถุนายนปีก่อน&nbsp;</li><li>พลาสติก (HS-39) จำนวน&nbsp;87,454 TEUs ลดลงร้อยละ&nbsp;17.6</li><li>เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และหม้อไอน้ำ (HS-84) จำนวน&nbsp;66,152 TEUs ลดลงร้อยละ&nbsp;31.8&nbsp; &nbsp;สินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า (HS-85) ลดลงร้อยละ 33.7 &nbsp;</li><li>ของเล่น เกม และอุปกรณ์กีฬา (HS-95) ลดลงร้อยละ 27.1&nbsp;</li><li>สินค้ายานยนต์ (HS-87) ลดลงร้อยละ 31.7&nbsp;</li><li>สิ่งทอ (HS-63) เสื้อผ้า (HS-61-62) และรองเท้า (HS-64) ลดลงมากกว่าร้อยละ&nbsp;18–29&nbsp;</li></ul>การนำเข้าของสหรัฐฯ จาก&nbsp;10 ประเทศในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ&nbsp;1.3 หรือ&nbsp;19,544 TEUs เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมีเวียดนาม เพิ่มขึ้นร้อยละ&nbsp;7.7 เพิ่มขึ้น&nbsp;19,516 TEUs ตามด้วย อินโดนีเซีย (ร้อยละ&nbsp;17.3)&nbsp; ไทย (ร้อยละ&nbsp;8.6) และอิตาลี (ร้อยละ&nbsp;9.0) เยอรมนีและไต้หวันเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ&nbsp;2.6 เท่ากันซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังประเทศอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่บางประเทศกลับมีปริมาณลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น เกาหลีใต้ ลดลงร้อยละ 12.5 และอินเดีย ลดลงร้อยละ&nbsp;9.6&nbsp; ส่วนญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ&nbsp;3.0&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การค้าทั่วโลกยังคงต้องเผชิญกับความตึงเครียดทั้งจากเรื่องอัตราภาษี และความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้าก็ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการวางแผนด้านห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งการขนส่งผ่านทะเลแดงยังคงถูกรบกวน และสถานการณ์ถูกซ้ำเติมด้วยความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งที่มีต้นทุนสูงขึ้น และใช้ระยะเวลานานขึ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อคิดเห็น&nbsp;การนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการนำเข้าของสหรัฐฯ และผู้นำเข้าสหรัฐฯ เริ่มมีการปรับตัวกับห่วงโซ่อุปทานท่ามกลางความผันผวนทางการค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจัยด้านการเร่งการนำเข้าเพื่อเก็บเป็นสินค้าคงคลังในขณะที่อัตราภาษีร้อยละ 10 ยังคงมีผลบังคับใช้ก่อนการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 1 สิงหาคม 2568&nbsp;การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับโครงสร้างทางการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากธุรกิจสหรัฐฯ กำลังตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงด้านภาษี และแรงกดดันด้านต้นทุน แม้ผู้นำเข้าสหรัฐฯ จะพยายามปรับห่วงโซ่อุปทานอย่างช้า ๆ ภายใต้แรงกดดันจากภาษีที่ยังคงสูง และความพยายามกระจายแหล่งนำเข้า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยด้วยอัตราภาษีร้อยละ 36 ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนิเซีย ฟิลลิปปินส์ ซึ่งมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่า สินค้าส่งออกหลักของไทยในตลาดสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ 1. กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์&nbsp; อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เครื่องปรับอากาศ 2. กลุ่มยานยนต์ (ยางรถยนต์ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์ยานยนต์)&nbsp; 3. กลุ่มอาหาร สินค้าเกษตร ข้าว อาหารกระป๋อง 4. เครื่องแต่งกาย 5.&nbsp; ยางธรรมชาติ&nbsp;

Weekly News-การนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนฟื้นตัวเล็กน้อย.pdf

large__DITP Web 714 (2048 x 1365 px)  (1).png

medium__DITP Web 714 (2048 x 1365 px)  (1).png

small__DITP Web 714 (2048 x 1365 px)  (1).png

thumbnail__DITP Web 714 (2048 x 1365 px)  (1).png

_DITP Web 714 (2048 x 1365 px)  (1).png

สคต. ณ นครชิคาโก (สหรัฐอเมริกา)

การนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายนฟื้นตัวเล็กน้อย  

นิวซีแลนด์

Fact Sheet New Zealand May 2025.pdf

medium_890348-1.jpg

small_890348-1.jpg

thumbnail_890348-1.jpg

890348-1.jpg

Factsheet New Zealand May 2025 

องค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ (Knowledge of international trade)