ภาวะการค้าระหว่างประเทศของอินเดียประจำเดือนเมษายน 2568

ภาวะการค้าระหว่างประเทศของอินเดียประจำเดือนเมษายน 2568 (ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีงบประมาณ 2025 อินเดีย) จากข้อมูลของสำนักสารสนเทศ กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดีย โดยสรุปดังนี้

  1. การส่งออก เดือนเมษายน 2568 มีมูลค่า 38.49 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ9.03 (YoY) มูลค่าหลังหักกลุ่มน้ำมันและอัญมณีฯ มีมูลค่า 28.61 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 26 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

กลุ่มสินค้าส่งออกเด่น ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ (39.51%) , เครื่องจักรกล  (11.28%),   อัญมณีและเครื่องประดับ (10.74%) , ประมง (14.43%) , ข้าว (13.63%)  ตามลำดับ

ตลาดส่งออกเติบโตสูง 5 อันดับแรก ได้แก่ เคนยา (132.44%) ,แทนซาเนีย (87.20%),  ออสเตรเลีย (74.16%) ,  สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (33.65%), และ สหรัฐอเมริกา (27.31%)

  1. การนำเข้า เดือนเมษายน 2568 มีมูลค่า 64.91 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ12 (YoY) มูลค่าหลังหักกลุ่มน้ำมันและอัญมณีฯ มีมูลค่า 39.27 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 33.26 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

กลุ่มสินค้านำเข้าที่หดตัว ได้แก่ เมล็ดถั่ว  (-23.50%), กระดาษหนังสือพิมพ์ (-14.40%) , ถ่านหิน (-12.28%) , ผักและผลไม้ (-8.97%), น้ำมันพืช (-8.09%) ตามลำดับ

ประเทศที่อินเดียนำเข้าเพิ่มขึ้น 5 ลำดับแรก ได้แก่ ไอร์แลนด์ (425.65%), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (88.97%), สหรัฐอเมริกา (63.76%) ,จีน (27.08%) และ รัสเซีย (17.82%)

  1. ดุลการค้าสินค้า เดือนเมษายน 2568 ขาดดุลการค้า 8.65 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าขาดดุลที่ระดับ 5.77 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (อัตราการขยายตัวการขาดดุลร้อยละ 49.91)

ข้อคิดเห็น (1) อินเดียเริ่มต้นปีงบประมาณ 2025 ด้วยการเติบโตทั้งการส่งออกและนำเข้า แม้จะอยู่ภายใต้บริบทโลกที่มีความผันผวนจากมาตรการภาษีตอบโต้ทางการค้า การส่งออกสินค้าเติบโตโดดเด่นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ประมง ข้าว และอัญมณี ขณะที่ดุลการค้ายังขาดดุลเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความไม่สมดุลในโครงสร้างการค้าแม้การส่งออกจะขยายตัว ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งและเป็นตัวแปรสำคัญต่อการกำหนดแนวโน้มการค้าโลก

(2) สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอินเดีย มูลค่าการค้าระหว่างกันประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ โดยอินเดียได้ดุลการค้าประมาณ 32,000 ล้านดอลลาร์ อินเดียมีอัตราภาษีสินค้าเกษตรเฉลี่ยสูงถึง 39% ซึ่งมากกว่าสหรัฐฯที่เรียกเก็บถึง 8 เท่า เพื่อผ่อนคลายแรงกดดัน อินเดียได้ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ บางรายการ เช่น เสื้อผ้า มอเตอร์ไซค์ และเหล้าเบอร์เบิน แต่สหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้เปิดเสรีเพิ่ม   ในสินค้าเกษตร รัฐบาลอินเดียจึงอยู่ระหว่างพิจารณาลดภาษีสินค้าจำเพาะ เช่น พีแคน ถั่วพัลส์ ถั่วเหลืองไม่ใช่ GMO และผลิตภัณฑ์พลอยได้จากเอทานอลที่ใช้เป็นอาหารสัตว์

(3) การขึ้นภาษีการค้าส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก ขณะที่อินเดียได้เปรียบทางการแข่งขันในหลายภาคส่วนจากการลดภาษีนำเข้า อุตสาหกรรมหลักที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าเกือบ 14,000 ล้านดอลลาร์ และอัญมณีเครื่องประดับ  กว่า 9,000 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ได้ยกเว้นภาษีเวชภัณฑ์ ส่งผลให้อินเดียมีรายได้จากการส่งออกเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน      โดยมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 หรือราว 9,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณที่ผ่านมา

(4)  ภาพรวมเมื่อพิจารณาจากส่วนต่างอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐต่ออินเดียเมื่อเทียบกับต่างภูมิภาคถือว่าอินเดียเจออัตราภาษีตอบโต้น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้อยู่ในอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกับญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ แต่หากมองปัจจัยการผลิตภาพรวมแล้วนั้นอินเดียยังคงสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ และอาจจะเป็นในการสร้างแรงดึงดูดต่อเม็ดเงินการลงทุน (FDI) ในระยะสั้นจะเห็นประเทศต่างๆ เข้าเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นภาษีดังกล่าว ขณะเดียวกันอินเดียก็มีสัญญาณ FDI เพิ่มขึ้นท่ามกลางบริบทที่ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้านภาษีระหว่างประเทศ

jaJapanese