รายงาน Mobiliteit in Ceijfers (Mobility in Figures) 2024-2025 เป็นรายงานประจำปีสำหรับภาคยานยนต์และการเคลื่อนที่ของเนเธอร์แลนด์ (Dutch Automotive and Mobility Sector) ซึ่งจัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยความร่วมมือกันระหว่าง RAI Vereniging สหพันธ์ผู้ผลิตและผู้นำเข้ารถยนต์ และ BOVAG องค์กรภาคส่วนการสัญจรของเนเธอร์แลนด์ รายงานฉบับล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเนเธอร์แลนด์ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำของยุโรปในด้านการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างรวดเร็วในภาคยานยนต์ จากจำนวนรถยนต์ทั้งหมด 9.4 ล้านคัน มีรถยนต์จำนวน 1.3 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 14% ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Fully Electric) หรือมีระบบส่งกำลังไฮบริด ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าจาก 5 ปีที่แล้วที่มีรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรือรถยนต์ระบบไฮบริดอยู่เพียง 3.7% แสดงให้เห็นถึงการยอมรับอย่างรวดเร็วของรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของประเทศเนเธอร์แลนด์ในการลดการปล่อย CO2 และการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในปี 2023 ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในเนเธอร์แลนด์ยังไม่มีสัญญาณการชะลอตัวแต่อย่างใด มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 113,961 คัน เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อนหน้าที่มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบจดทะเบียนใหม่เพียง 73,250 คัน และจำนวนรถยนต์ไฮบริดจดทะเบียนใหม่ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 22% เป็น 137,063 คัน โดย 16% เป็นรถยนต์ Mild Hybrids (MEV) และอีก 16% เป็นรถยนต์ Full Hybrids (HEV) และ 36% เป็นรถยนต์ Plug-in Hybrids (PHEV) แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญไปสู่เทคโนโลยีที่สะอาดกว่า
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเบลเยี่ยมที่รถยนต์ไฟฟ้ายังคงมียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่ใน 9 เดือนแรกของปี 2024 ถึง 96,233 คัน ซึ่งมากกว่าในปี 2023 ที่มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่อยู่ที่ 93,180 คัน เนเธอร์แลนด์มีสัดส่วนการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ต่อประชากรน้อยกว่าเบลเยี่ยม โดยในปี 2023 เบลเยี่ยมซึ่งมีประชากรเพียง 11,763,650 คน แต่มียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ 476,675 คัน นับเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ในยุโรป รองจากเยอรมนี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อิตาลี และสเปน ในขณะที่เนเธอร์แลนด์ซึ่งมีประชากร 17,942,042 คน มียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่เพียง 369,608 คัน และเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 8 ในยุโรป
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากจำนวนรถยนต์ทั้งหมดบนท้องถนนในเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน 9.4 ล้านคัน จะเห็นว่ามีรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 462,307 คัน เพิ่มขึ้น 36% และรถยนต์ไฮบริด 848,972 คัน เพิ่มขึ้น 31% แม้ว่ารถยนต์เบนซินบริสุทธิ์ยังคงมีจำนวนมากที่สุด 7,197,651 คัน ส่วนรถยนต์ดีเซลมีจำนวน 795,381 คัน ลดลง 12% และรถยนต์ LPG มีจำนวน 96,750 คัน ลดลง 1% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้านี้มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเนเธอร์แลนด์ และส่งผลดีต่อการลดการปล่อย CO2 เนเธอร์แลนด์สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นผู้นำในยุโรปในการลดการปล่อย CO2 รองจากสวีเดน ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก โดยเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่มีการปล่อย CO2 เฉลี่ยต่ำที่สุดต่อรถยนต์ใหม่ที่จำหน่าย โดยมีการปล่อย CO2 อยู่ที่ 74.2 กรัม/กม. ลดลงจากในปี 2022 ที่มีการปล่อย CO2 อยู่ที่ 86.8 กรัม/กม.
การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมแต่ก็มีความท้าทายทางการเงิน รายงาน “Mobiliteit in Cijfers” แสดงตัวเลขราคารถยนต์ใหม่ในเนเธอร์แลนด์เมื่อต้นปี 2024 ราคารถยนต์ใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 48,118 ยูโร เพิ่มขึ้น 3.91% จากราคาเฉลี่ยในปี 2023 ที่มีราคาอยู่ที่ 46,235 ยูโร และหากย้อนกลับไปในปี 2000 รถยนต์ใหม่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 19,367 ยูโร และในปี 1970 รถยนต์ใหม่มีราคาเพียง 3,389 ยูโร ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปัจจุบันราคารถยนต์ใหม่เพิ่มสูงขึ้นถึง 1,319.83% แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันราคารถยนต์มีความแตกต่างกันอย่างมากตามประเภทของเชื้อเพลิง โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลดีเซลในเนเธอร์แลนด์เป็นประเภทที่มีราคาแพงที่สุด ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 92,117 ยูโร รองลงมาคือ รถยนต์ Plug-in Hybrids ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 74,553 ยูโร รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 52,439 ยูโร รถยนต์เบนซินราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 35,373 ยูโร และรถยนต์ที่ใช้ LPG ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 23,646 ยูโร
บทวิเคราะห์และความเห็นของ สคต.
การเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จและประสิทธิภาพของนโยบายรัฐบาล สิทธิประโยชน์ทางภาษี เงินอุดหนุน และมาตรการจูงใจต่างๆ ที่ออกมาเพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการลดการปล่อย CO2 ในภาคยานยนต์ โดยปริมาณการปล่อย CO2 ของรถยนต์ใหม่ในเนเธอร์แลนด์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ ถึงแม้ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าในเนเธอร์แลนด์จะยังคงอยู่ในระดับสูง และเนเธอร์แลนด์ก็มีอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่สูงถึง 21% บวกกับภาษีรถยนต์และจักรยานยนต์ส่วนบุคคลที่เรียกว่า BPM ที่สูงถึง 18% สำหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและ Hybrids และอัตราภาษี BPM 18+2% สำหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล แต่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยจะได้รับการยกเว้นภาษี BPM จนถึงสิ้นปี 2024
การเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์เนเธอร์แลนด์ไปสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) และ Hybrids เป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้าของเนเธอร์แลนด์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงจักรยานไฟฟ้า จักรยายนต์ไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสทางการตลาดใหม่สำหรับภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ เราคงต้องติดตามนโยบายและสิทธิประโยชน์ทางภาษีรัฐบาลของเนเธอร์แลนด์ รวมถึงนโยบายของสหภาพยุโรปโดยรวม ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว และการเติบโตของตลาดยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และอาจส่งผลต่อยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในอนาคต
ハーグ国際貿易促進局