กระทรวงการคลังเวียดนามเสนอปรับขึ้นภาษีการบริโภคพิเศษสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นร้อยละ 100 ภายในปี 2573 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่มในเวียดนามอย่างมาก โดยกระทรวงการคลังเสนอให้เก็บภาษีเพิ่มในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อาหารหมักดองจากผลไม้ และธัญพืช นอกจากนี้ เครื่องดื่มประเภท Soft Drink จะต้องเสียภาษีบริโภคพิเศษนี้ด้วย

ปัจจุบัน อัตราภาษีสรรพสามิตสําหรับเบียร์คือร้อยละ 65 ไวน์อยู่ที่ร้อยละ 35-65 ขึ้นอยู่กับว่าปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำกว่าหรือสูงกว่าร้อยละ 20  อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังมีแผนการปรับตามแผนงานปี 2569-2573 ซึ่งจะทำให้ราคาขายเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 10  ทั้งนี้ เป็นไปตามคําแนะนําขององค์การอนามัยโลก (WHO)

ภายใต้ร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติ ภาษีการบริโภคพิเศษสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 ถึงร้อยละ 80 ในปี 2569 และจะค่อย ๆ ปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 90 จนถึงร้อยละ 100 ในปี 2573 เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่อยู่ในอัตราร้อยละ 65

“ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเบียร์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในปี 2569 เมื่อเทียบกับปี 2568” กระทรวงการคลังระบุในข้อเสนอ โดยเสริมว่าราคาจะยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 2-3 ขึ้นอยู่กับอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ตามแผนพัฒนาอุตสาหกรรมเบียร์ แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มของเวียดนาม ภายในปี 2568 เวียดนามจะผลิตเบียร์ประมาณ 4.6 พันล้านลิตร ไวน์ 350 ล้านลิตร และเครื่องดื่มประเภท Soft Drink ปริมาณ 9.1 พันล้านลิตร มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ

กระทรวงการคลังกล่าวว่า หากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเบียร์ในปริมาณที่มากเกินไป จะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคมากมาย และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย และความปลอดภัยในการจราจร ดังนั้น การเก็บภาษีในอัตราสูงจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

อุตสาหกรรมเบียร์ของเวียดนามได้รับผลกระทบจากกฎหมายดื่มแล้วไม่ขับที่เข้มงวดของประเทศ ที่จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์สำหรับผู้ขับขี่เป็น 0 มาตั้งแต่ปี 2562 เมื่อปี 2566 รายได้ของอุตสาหกรรมเบียร์ลดลงร้อยละ 11 และกำไรลดลงร้อยละ 23 ตามการคาดการณ์ของสมาคมผู้ประกอบการเบียร์และแอลกอฮอล์เวียดนาม

นอกจากแอลกอฮอล์และเบียร์แล้ว ในร่างกฎหมายนี้กระทรวงการคลังยังเสนอให้เพิ่มอัตราภาษีและขยายกลุ่มสินค้าที่ต้องเสียภาษีนี้ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกฎหมายกําหนดอย่างชัดเจนว่า บุหรี่ต้องเสียภาษี รวมถึงซิการ์ ยาสูบรูปแบบอื่น ๆ อัตราภาษีบุหรี่จะยังคงอยู่ที่ร้อยละ 75 ในช่วงปี 2569-2573 อัตราภาษีสําหรับบุหรี่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจาก 5,000-10,000 เวียดนามด่งต่อถุง ซิการ์จาก 50,000-100,000 เวียดนามด่งต่อมวน กฎระเบียบดังกล่าวจะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่จากร้อยละ 42.7 (ในปี 2565) เป็นร้อยละ 38.6 ภายในปี 2573

(แหล่งที่มา https://vnexpress.net/ ฉบับวันที่ 13 มิถุนายน 2567)

วิเคราะห์ผลกระทบ

ภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เวียดนามมีการปรับเพิ่มขึ้น ล่าสุดเมื่อปี 2561 แต่เวียดนามยังคงเป็นประเทศที่มีผู้บริโภคเบียร์สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นอันดับสามในเอเชีย รองจากญี่ปุ่นและจีน โดยในปี 2562 การบริโภคเบียร์เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 47.6 ลิตร เพิ่มขึ้น 1.2 เท่าจากปี 2558 ขณะที่การบริโภคสุราและไวน์ขาวต่อคนอยู่ที่ 3.4 ลิตร ซึ่งได้เพิ่มขึ้น 1.02 เท่าจากปี 2558 เช่นเดียวกัน ดังนั้นกระทรวงการคลังได้เสนอให้รัฐบาลเวียดนามขึ้นภาษีการบริโภคสำหรับสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามแผนปฏิรูประบบภาษีตั้งแต่ปี 2564-2573 เพื่อลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อหัวประชากรลง รวมถึงป้องกันและลดอันตรายจากการบริโภคแอลกอฮอล์ปริมาณมากเกินไปให้กับผู้บริโภคเวียดนาม

นำเสนอโอกาส/แนวทาง

การเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเบียร์ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่ม แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น การค้าปลีก และบรรจุภัณฑ์ การเก็บภาษีดังกล่าวเพื่อลดปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อหัวประชากรลง รวมถึงลดปัญหาสุขภาพที่มาจากการบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปของประชาชน ซึ่งจะกระทบต่อราคาและอัตราการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของเวียดนาม  ผู้ประกอบการที่ต้องการส่งออกสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเบียร์ รวมถึงเครื่องดื่มประเภท Soft Drink ต้องติดตามมาตรการภาษีสรรพสามิตเวียดนาม เพื่อทราบแนวทางการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเข้าตลาดให้เหมาะสม

jaJapanese