หลังจากที่นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาประกาศลาออก เมื่อช่วงต้นปี 2568 และพรรคเสรีนิยมได้ดำเนินกระบวนการสรรหาผู้นำคนใหม่มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรีแทนนายทรูโด ล่าสุด นายมาร์ค คาร์นีย์ (Mark Carney) ชนะการลงคะแนนเสียงคัดเลือกภายในพรรคเสรีนิยม ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นเกือบ
ร้อยละ 86 และจะเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาคนที่ 24 โดยนาย Carney ประกาศถึงประเด็นสำคัญที่สุดของแคนาดาในขณะนี้ คือ การรับมือกับประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ
นาย Carney จะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่เคยมีตำแหน่งทางการเมืองและไม่เคยผ่านการเลือกตั้งมาก่อน ประวัติการทำงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเงินและการธนาคาร โดยนาย Carney เคยเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางแคนาดา และเคยเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษในช่วง Brexit โดยเป็นผู้ว่าการฯ คนแรกที่เป็นคนต่างชาติและอายุน้อยที่สุด นอกจากนี้ เคยทำหน้าที่เป็น
ที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการให้กับนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดในปี 2563 โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด และล่าสุดในเดือนกันยายน 2567 นายคาร์นีย์ได้รับการแต่งตั้งจากทรูโดให้เป็นประธานคณะทำงานด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจของพรรคเสรีนิยม
ทั้งนี้ แนวทางนโยบายของคาร์นีย์ในการตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ ไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลทรูโดมากนัก โดยจะใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีจนกว่าสหรัฐฯ จะหยุดใช้มาตรการกับแคนาดา ควบคู่ไปกับการเจรจาและล็อบบี้หน่วยงานของสหรัฐฯ เองให้เห็นถึงผลกระทบ
ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคอนุรักษ์นิยม นาย Pierre Poilievre ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายคาร์นีย์อย่างรุนแรง ว่าไม่แตกต่างจากนายทรูโดและมีทีมงานเดียวกัน ซึ่งจะสร้างผลลัพธ์เหมือนเดิม นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงข่าวที่นายคาร์นีย์เคยถือหุ้นและเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัท Brookfield Asset Management (เป็นหนึ่งในบริษัทการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสินทรัพย์กว่า 1 ล้านล้านเหรียญแคนาดา) ซึ่งได้ย้ายสำนักงานใหญ่จากเมืองโทรอนโตไปยังเมืองนิวยอร์ก แต่ยังคงจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในแคนาดา ซึ่งนายคาร์นีย์เคยเป็นประธานบอร์ดของบริษัทนี้ก่อนจะลาออกเพื่อสมัครเป็นผู้นำพรรคเสรีนิยม และถูกมองว่าอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนและมีท่าทีสนับสนุนการลงทุนสหรัฐฯ มากกว่าแคนาดา ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าฝ่ายค้านอาจนำประเด็นดังกล่าวมาใช้ในเกมการเมืองของการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของคาร์นีย์
โดยขั้นตอนต่อไป จะเป็นการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ และคาดว่านายคาร์นีย์จะไม่ปรับคณะรัฐมนตรีในกระทรวงที่เป็นหลักในการเจรจากับสหรัฐฯ ในขณะนี้
แคนาดามีกำหนดการเลือกตั้งทั่วไป (Federal Election) ในเดือนตุลาคม 2568 ซึ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ก่อนการประกาศลาออกของนายทรูโด คะแนนนิยมของพรรคอนุรักษ์นิยมที่นำโดยนาย Poilievre สูงกว่าพรรคเสรีนิยมอย่างมาก แต่ช่องว่างนี้กำลังแคบลงนับตั้งแต่นายทรูโดประกาศลาออกและประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มสงครามการค้ากับแคนาดา
ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า หากเข้าสู่การเลือกตั้ง ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จะเลือกนาย Carney มากกว่านาย Poilievre ผลสำรวจยังแสดงว่าชาวแคนาดาอยากเห็นนาย Carney เป็นผู้เจรจากับ Trump มากกว่านาย Poilievre เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางคนมองว่า Poilievre มีอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมใกล้เคียงกับนายทรัมป์มากเกินไป โดยนักวิเคราะห์ด้านการเมืองเห็นว่าเนื่องจากสถานการณ์ของพรรคเสรีนิยมเริ่มมีความได้เปรียบมากขึ้น และเพื่อรักษาโมเมนตัมกระแสความนิยมของคาร์นีย์ในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพเพื่อรับมือสงครามการค้าที่อาจดึงให้แคนาดาเข้าสู่ภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจกลางปี 2568 นายคาร์นีย์อาจใช้ความได้เปรียบจากผลโพลล่าสุดในการจัดการเลือกตั้งที่เร็วกว่ากำหนด โดยอาจมีการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเร็วที่สุดในเดือนเมษายน 2568
ความคิดเห็น สคต.
นายมาร์ค คาร์นีย์ (Mark Carney) ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา นอกจากต้องรับมือกับประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ แล้ว ยังมีภารกิจต้องนำพรรคเสรีนิยมชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย สงครามการค้าของแคนาดาและสหรัฐฯ ที่ไม่มีท่าทีว่าจะจบลงง่ายๆ รวมทั้งความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจแคนาดาอย่างมาก ทั้งการจ้างงาน การลงทุนและผลประกอบการภาคเอกชน เงินเฟ้อ ทำให้แคนาดาต้องมองหาโอกาสและพันธมิตรใหม่ๆ และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสหรัฐฯ อย่างจริงจัง ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของนาย Carney ที่จะหาพันธมิตรขยายการค้าและแสวงหาตลาดใหม่ๆ แทนสหรัฐฯ จึงเป็นโอกาสของทวีปเอเชีย รวมถึงไทยที่จะขยายการค้าและการลงทุนกับแคนาดาในช่วงเวลาที่ยากลำบากของแคนาดา
โปรดติดตามความเคลื่อนไหวในการค้าระหว่างประเทศผ่าน ช่องทางต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th และ www.thaitrade.com หรือโทรปรึกษาเรื่องการค้าระหว่างประเทศที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โทร. 1169 (หากโทรจากต่างประเทศ โปรดติดต่อที่ โทร. +66 2792 6900)