thumbnail_Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Mark of certification awarded by the Ministry of Commerce, the Royal Thai Government to guarantee the authentic Thaitaste of Thai food products.

thumbnail_Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

A symbol of excellence and trusted quality that was established to add distinctive value.

thumbnail_output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

Prime Minister’s Export Award is an honorable accolade to the country’s outstanding exporters

thumbnail_DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

Thailand's most prestigious award given in recognition of outstanding Thai-design products.

medium_AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

small_AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

thumbnail_AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

medium_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

small_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

thumbnail_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

เมียนมา

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของเมียนมา เดือน มิถุนายน 68.pdf

medium_Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

small_Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

thumbnail_Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

Kamaryut,_Yangon,_Myanmar_(Burma)_-_panoramio.jpg

สคต. ณ กรุงย่างกุ้ง (เมียนมา)

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ประจำเดือนมิถุนายน 2568

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผู้สูงอายุยุคใหม่ : กำลังซื้อที่ไม่ควรมองข้าม &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;นักวิเคราะห์ในฮ่องกงส่งสัญญานเตือนร้านค้าที่ไม่ปรับตัวเพื่อรองรับความต้องการของผู้สูงวัย อาจเสียโอกาสทางการตลาดที่มีมูลค่าสูงถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกงภายในปี 2046 ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นสองเท่าจากปัจจุบัน โดยเศรษฐกิจผู้สูงอายุ (silver economy) อาจมีขนาดใหญ่กว่าการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขถึง 4-5 เท่า&nbsp; และผู้สูงอายุยุคใหม่มีศักยภาพการบริโภคสูงขึ้น แต่ยังขาดผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์&nbsp;นาย&nbsp;Dicky Chow ตำแหน่ง&nbsp;Head of Healthcare and Social Innovation จาก&nbsp;Our Hong Kong Foundation ระบุว่า ความท้าทายคือการปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจผู้สูงอายุอย่างแท้จริง พร้อมเน้นว่า เพียงเพราะผู้สูงวัยมีกำลังซื้อ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะยอมจ่ายเงินโดยง่าย หากรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อพวกเขา&nbsp;ในทำนองเดียวกัน ศาสตราจารย์&nbsp;Xue Bai&nbsp; ตำหน่ง&nbsp;Director of the Research Centre for Gerontology and Family Studies จาก&nbsp;Hong Kong Polytechnic University กล่าวว่าผู้สูงวัยในฮ่องกงยุคใหม่นั้นมีวิถีชีวิตที่สุขภาพดีขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น การเลือกใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เครื่องใช้ในครัวที่มีการออกแบบตามหลัก Ergonomic หรือเสื้อผ้าที่ผสมผสานระหว่างความสวยงามและความสบาย นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้ากว่า 60 แห่งในฮ่องกงยังปรับตัวตามแนวโน้มเพื่อรองรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของกลุ่มผู้สูงวัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่รัฐบาลประกาศ 30 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสูงวัย รวมถึงร้านค้าและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเฉพาะ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;แนวทางขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัย&nbsp; &nbsp; &nbsp;๑. &nbsp; สิ่งที่ควรพัฒนา&nbsp;:&nbsp;ความต้องการของผู้สูงวัยในตลาดยังไม่ได้รับการตอบสนองถึง 70%2.&nbsp; บทเรียนจากต่างประเทศ : &nbsp;ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น กำหนดช่วงเวลาช้อปปิ้งพิเศษสำหรับผู้สูงอายุเพื่อความสะดวก หรือ&nbsp; สิงคโปร์ &nbsp;ใช้แนวคิด Universal Design ในการออกแบบร้านค้าให้เหมาะกับทุกวัย3. &nbsp;&nbsp;คำแนะนำสำหรับธุรกิจ&nbsp;: แนวทางสำหรับการพัฒนาธุรกิจที่มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของผู้สูงอายุนั้น อาจเริ่มจากการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้มีความเหมาะสมและเอื้อต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน รวมถึงการจัดเวิร์กช็อปเพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะในการใช้เทคโนโลยีให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป สำหรับกลุ่มเป้าหมายในช่วงวัยนี้ ควรมุ่งเน้นบริการด้านการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพและสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย ในส่วนของผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ธุรกิจสามารถผลักดันบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความสุขในวัยเกษียณ การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองวิถีชีวิตของผู้สูงวัยอย่างครอบคลุมและยั่งยืน&nbsp;ความคิดเห็นของ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดผู้สูงอายุในฮ่องกงกำลังมีบทบาทสำคัญในฐานะแรงผลักดันทางเศรษฐกิจแห่งยุคสมัยใหม่ โดยสร้างความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะทางที่สอดคล้องกับความหลากหลายของกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อในระดับสูง ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการไทยจึงควรนำเสนอการพัฒนาสินค้าและบริการผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้สูงวัย ทั้งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสขยายตลาดและส่งเสริมศักยภาพทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น&nbsp;แหล่งข้อมูล:&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://hongkongbusiness.hk/retail/exclusive/ignoring-seniors-could-cost-retailers-big">https://hongkongbusiness.hk/retail/exclusive/ignoring-seniors-could-cost-retailers-big</a> &nbsp;&nbsp;

จีน

small_ข่าว กค. 2.png

thumbnail_ข่าว กค. 2.png

ข่าว กค. 2.png

สคต. ณ เมืองฮ่องกง (จีน)

ผู้สูงอายุยุคใหม่ : กำลังซื้อที่ไม่ควรมองข้าม

ประเด็นร้อน (Hot Topics)

สหรัฐอเมริกา

large_หน้าปก (5).png

medium_หน้าปก (5).png

small_หน้าปก (5).png

thumbnail_หน้าปก (5).png

หน้าปก (5).png

สคต. ณ นครนิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา)

ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีอีกครั้ง จุดกระแสเร่งเจรจาทั่วโลก

ข้อมูลล่าสุดของ หนังสือพิมพ์&nbsp;Business Daily ระบุว่า เคนยา มีสัดส่วนถึง 43% ของมูลค่าการค้ารวมระหว่างประชาคมแอฟริกาตะวันออก (EAC)&nbsp;กับสหภาพยุโรป (EU)&nbsp;หรือประมาณ 3.3 พันล้านยูโร จากการค้ารวมที่มีมูลค่าประมาณ 7.7 พันล้านยูโร ในปี 2024&nbsp;นอกจากนี้ เคนยายังเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนจากยุโรปเข้าสู่ภูมิภาค&nbsp;EAC&nbsp;มากที่สุด โดยมีสัดส่วนประมาณ 45% ของการลงทุนจาก&nbsp;EU&nbsp;ที่หลั่งไหลเข้าสู่&nbsp;EAC&nbsp;เหตุผลที่เคนยาครองความได้เปรียบกว่าประเทศอื่นใน&nbsp;EAC<ol style="padding-left:48px;"><li>ขนาดเศรษฐกิจและความหลากหลาย - เคนยาเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน EAC มีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาและภาคการผลิตที่หลากหลายกว่าประเทศเพื่อนบ้าน</li><li>เคนยากับข้อตกลง&nbsp;EPA กับสหภาพยุโรป - เคนยาเป็นประเทศเดียวใน&nbsp;EAC ที่ลงนามและให้สัตยาบัน ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (EconomicPartnership Agreement - EPA) กับ&nbsp;EU ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม&nbsp;2024 ซึ่งข้อตกลงนี้ให้สิทธิพิเศษกับสินค้าเคนยา เช่น ส่งออกไปยุโรปโดยปลอดภาษีและไม่จำกัดโควตา ขณะที่ประเทศอื่นยังไม่ได้รับสิทธิตามข้อตกลงนี้</li><li>โครงสร้างสินค้าส่งออกที่แข็งแกร่ง - สินค้าหลักของเคนยาที่ส่งออกไปยุโรป ได้แก่ กาแฟ ดอกไม้สด อะโวคาโด ยาสูบ โกโก้ ปลาแช่แข็ง (ปลานิลและกระพงน้ำจืด) ด้านนำเข้าสินค้าจากยุโรปประกอบด้วยสินค้าต่าง เช่น เครื่องจักร สารเคมี อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์ไม้ เป็นต้น</li></ol>ผลกระทบต่อภูมิภาค&nbsp;EAC<ol><li>ความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของเคนยาใน EAC ส่งผลให้มีอิทธิพลต่อการเจรจาการค้าระดับภูมิภาคมากขึ้น</li><li>ประเทศอื่นใน&nbsp;EAC&nbsp;ได้แก่ ยูกันดา แทนซาเนีย รวันดา บุรุนดี และซูดานใต้ ยังคงได้รับสิทธิพิเศษจากโครงการ&nbsp;Everything-But-Arms (EBA)&nbsp;ของสหภาพยุโรป แต่สิทธิภายใต้&nbsp;EBA&nbsp;ไม่ครอบคลุมเท่าข้อตกลง&nbsp;EPA&nbsp;ที่เคนยาได้รับ</li><li>ข้อตกลง&nbsp;EPA&nbsp;ของเคนยา เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นใน&nbsp;EAC&nbsp;เข้าร่วม หากประเทศเหล่านั้นมีความพร้อม ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าของทั้งภูมิภาคในอนาคต</li></ol>&nbsp;ส่องดูตลาดและคู่แข่งของเคนยาในสินค้าสำคัญ และแนวทางการส่งออกของเคนยาใน&nbsp;EU&nbsp;(กาแฟ ดอกไม้ตัดสด และอะโวคาโด)<ol><li>กาแฟ – เคนยายังมีจำนวนการส่งออกเทียบกับคู่แข่งไม่ติดลำดับ 5 อันดับแรก แต่มีแนวโน้มส่งออกได้มากขึ้นในอนาคต เนื่องกาแฟเคนยามีคุณภาพสูง (Arabica) ต่างกับคู่แข่งสำคัญ เช่น บราซิล เวียดนาม ฮอนดูรัส และอินโดนีเชีย ที่ขาย&nbsp;Robasta เป็นหลัก โดยคู่แข่งสำคัญในตลาดบนคือ กาแฟจากโคลอมเบียแนวโน้มตลาด - การนำเข้า "กาแฟเขียว (ไม่คั่ว)" ยังคงสูง (ยึดส่วนแบ่ง 84% ของมูลค่าการนำเข้า) แต่ความต้องการกาแฟ&nbsp;decaffeinated&nbsp;และกาแฟคั่วเพิ่มขึ้นในอนาคต</li><li>ดอกไม้ตัดสด – เคนยาเป็นผู้ส่งออกที่ครองตลาด&nbsp;EU เป็นลำดับที่ 4 ตามหลัง เนเธอร์แลนด์ โคลอมเบีย เอกวาดอร์ โดยมีคู่แข่งสำคัญจากแอฟริกาคือ เอธิโอเปีย มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 487 ล้าน&nbsp;USD ต่อปีแนวโน้มตลาด -&nbsp;EU เพิ่มมาตรการตรวจสอบ “False Codling Moth (FCM)” จาก 5%&nbsp;→ 25% (พ.ค. 2024) ทำให้ผู้ส่งออกเคนยาต้องปรับตัวมากขึ้น ทำให้ระยะแรกอาจจะยังส่งออกได้น้อยลงบ้าง</li><li>อะโวคาโด – เคนยา เป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดจากแอฟริกา แต่เป็นลำดับ 4-5 ของแหล่งนำเข้า ตามหลัง เปรู ชิลี โคลอมเบีย และมีคู่แข่งจากแอฟริกาคือ โมร็อกโก แอฟริกาใต้ โดยส่งออกประมาณ 161 ล้าน&nbsp;USD ต่อปี&nbsp;แนวโน้มตลาด -&nbsp;EU นำเข้าอะโวคาโด 813,000 ตันต่อปี การบริโภคต่อหัวใน&nbsp;EU&nbsp;คงที่ที่&nbsp;~1.4 กก./คน/ปี แต่มีศักยภาพเติบโตสูงในยุโรปตะวันออก เคนยาควรวางแผนการปลูกและระบายสินค้าให้สอดคล้องกับฤดูกาลและความต้องการตลาด ซึ่งปัจจุบันสู้กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาที่มีผลผลิตทั้งปีไม่ได้ ทำให้บางครั้งขายไม่ได้ราคาเท่าที่ควร&nbsp;ความเห็นของ สคต.&nbsp;จากรายงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า เคนยามุ่งเน้นการขยายตลาดการค้าและดึงนักลงทุนจากยุโรปมากกว่าหลายประเทศในแอฟริกา โดยสินค้าส่งออกสำคัญยังเป็นสินค้าทางการเกษตร เป็นหลัก เช่น กาแฟ อะโวคาโด ดอกไม้สด เป็นต้น ซึ่ง สคต. มองว่า ประเทศไทยสามารถใช้เป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนด้านการแปรรูปสินค้าเกษตรเหล่านี้ โดยใช้เคนยาเป็นฐานการผลิตได้ในอนาคต อย่างไรก็ดี ด้วยการที่ไทยยังไม่มีข้อตกลงการค้ากับแอฟริกา ทำให้การเข้ามาทำตลาดอาจจะเสียเปรียบคู่แข่งทั้งจากยุโรปและแอฟริกาที่อาจเข้ามาแย่งโอกาสตรงนี้ได้ นอกจากนั้น ไทยอาจต้องเริ่มมองเคนยา และประเทศในแอฟริกาอื่นที่อาจเป็นคู่แข่งในการส่งออกสินค้าไปยังยุโรปในอนาคตด้วยต่อไป และในทางกลับกันเมื่อยุโรปมีข้อตกลงการค้าดังกล่าว จะทำให้สินค้าอาหารแปรรูปจากยุโรปเข้ามาทำตลาดในเคนยาและแอฟริกามากขึ้น&nbsp;ผู้ส่งออกหรือนักธูรกิจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่&nbsp;E-mail:&nbsp;ของสำนักงานฯ ที่&nbsp;<a href="mailto:info@ocanairobi.co.ke">info@ocanairobi.co.ke</a>&nbsp;&nbsp;</li></ol>ที่มา :&nbsp;https://www.theeastafrican.co.ke/&nbsp;

เคนยา

แปล_วิเคราะห์_2025_ July_ข่าว1.docx-เคนยาครองส่วนแบ่งตลาดการค้าใน EU ถึงร้อย 43% ของการส่งออกไป EU (เทียบกับกลุ่มประเทศ EAC).pdf

medium_July 1.jpg

small_July 1.jpg

thumbnail_July 1.jpg

July 1.jpg

สคต. ณ กรุงไนโรบี (เคนยา)

เคนยาครองส่วนแบ่งตลาดการค้าใน EU ถึงร้อย 43% ของการส่งออกไป EU (เทียบกับกลุ่มประเทศ EAC)

รัฐบาลเคนยา โดยหน่วยงานควบคุมมาตรฐานสินค้าเคนยา (KEBS) และกระทรวงสาธารณสุขเคนยา กำลังอยู่ในระหว่างการร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเตือนให้ทราบถึงอาหารแปรรูป (packaged food) ที่มีส่วนประกอบหรือปริมาณสารอาหารที่เป็นโทษต่อสุขภาพ ได้แก่ มีน้ำตาลมากเกินไป (High in sugar) มีเกลือมากเกินไป (High in salt) และ มีไขมันมากเกินไป (High in saturated fat) โดยคาดการณ์ว่าจะมีการเริ่มประกาศใช้กฎหมายนี้ภายในเดือน มีนาคม 2569 (ค.ศ.2025) โดยมีการเริ่มออกแบบและทดลองใช้งานแล้วในปัจจุบัน โดยให้ชื่อฉลากนี้ว่า “ป้ายเตือนด้านสุขภาพ (black warning label)” ซึ่งเป็นเรื่องที่ ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอาหารสำเร็จรูปทั้งในเคนยาและนำเข้าจากต่างประเทศจะต้องปฎิบัติให้มีฉลากดังกล่าวในสินค้าประเภทนี้ต่อไป&nbsp;โดยเรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากสำนักงานข่าว Reuter และสำนักงานข่าวต่างๆในเคนยา ถึงที่มาที่ไปในเรื่องนี้กล่าวคือ&nbsp;ด้วยแนวคิดของกระทรวงสาธารณสุขเคนยาและ หน่วยงานควบคุมมาตรฐานสินค้าเคนยา (KEBS)&nbsp; ได้ร่วมกันจัดทำรายงานศึกษา รายงาน&nbsp;ATNI (Access to Nutrition Initiative) เพื่อศึกษาว่า อาหารแปรรูปที่มีจำหน่ายในเคนยามีคุณภาพด้านโภชนาการที่เป็นคุณหรือเป็นโทษอย่างไรกับผู้บริโภค เนื่องจากมีข้อมูลว่า ในช่วงปี 2018–2023 ที่ยอดขายอาหารแปรรูปเพิ่มขึ้น 16% และตั้งแต่ปี 2000 ผู้บริโภคเคนยาป่วยเป็นเบาหวานหรือโรคอ้วนเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า (โดยคิดเป็นร้อยละ45% ของผู้หญิงต่อคนทั้งหมดและ 19% ของผู้ชายต่อคนทั้งหมด) ทำให้ภาครัฐควรหาทางเตือนผู้บริโภคให้เลือกรับประทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะมากขึ้น ซึ่งจากผลการศึกษาของรายงาน&nbsp;ATNI พบข้อมูลที่น่าตกใจดังนี้ พบว่าประมาณ 90% ของผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มบรรจุภัณฑ์ในเคนยา (กลุ่มตัวอย่างจำนวน 746 ผลิตภัณฑ์จาก 30 บริษัทใหญ่ ซึ่งครอบคลุมกว่า 57% ของตลาดอาหารบรรจุภัณฑ์ในประเทศเคนยา) พบสินค้าถึงร้อยละ 90 ของผลิตภัณฑ์ที่สำรวจมีเกณฑ์ระดับน้ำตาลสูง เกลือ หรือไขมันอิ่มตัว มากเกินไป ซึ่งได้ทำการประเมินตามแบบ&nbsp;Kenya Nutrient Profiling Model&nbsp;ที่ยึดเอามาตรฐานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตามข้อแนะนำชอง&nbsp;WHO&nbsp; ทั้งนี้ หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่ว่านี้ ทำให้รัฐบาลได้วางเป้าหมาย ที่จะต้องจัดทำฉลากที่เตือนผู้บริโภคให้ทราบถึงอันตรายของการรับประทานอาหารที่มี น้ำตาล เกลือ หรือไขมันสูงเกษณ์ที่ร่างการควรได้รับ โดยเป้าหมายคือฉลากที่จัดทำขึ้นนี้ จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าโดยคำนึงถึงสุขภาพ ได้อย่างเหมาะสม &nbsp;โดยได้มีการทดลองแบบสุ่ม (แบบ&nbsp;RCT) ชี้ว่า สัญลักษณ์ “ไม่ดีต่อสุขภาพ” สีดำในรูปทรงแปดเหลี่ยม เป็นรูปแบบที่ใช้งานได้ดีที่สุดในกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภค โดยช่วยให้ผู้ใช้จดจำสารที่เป็นปัญหา และปรับพฤติกรรมการซื้อได้ดีที่สุด&nbsp;ความเห็นของ สคต.&nbsp;จากรายงานดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานควบคุมมาตรฐานสินค้าเคนยา (KEBS)&nbsp;และกระทรวงสาธารณสุขเคนยา ต้องการจะให้สินค้าอาหารแปรรูปที่จะจำหน่ายในเคนยา จัดทำฉลาก “ป้ายเตือนด้านสุขภาพ (black warning label)” โดยอ้างว่า จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกสินค้าที่ดีและเป็นประโยชน์กับร่างกายแต่ละคนมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นความประสงค์ที่ดีและมีความเหมาะสมที่คนหันมาสนใจการรักษาสุขภาพตัวเองมากขึ้นของหลายๆ ประเทศทั่วโลก ซึ่งเคนยาก็จะเป็นประเทศอันดับแรกที่มีร่างกฎหมายในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อมีระเบียบดังกล่าวขึ้น จะทำให้การผลิตอาหารแปรรูปของผู้ผลิตในประเทศ และผู้นำเข้าสินค้าอาหารแปรรูปจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการผลิต หรือต้นทุนการนำเข้าสินค้าที่จะสูงขึ้นเพื่อให้มีฉลากดังกล่าวตามข้อกำหนดต่อไป ซึ่งอาจเป็นนโยบายที่หน่วยงานภาครัฐของเคนยาต้องการหารายได้จากประชาชนมากขึ้นเช่นกัน&nbsp;สำหรับประเทศไทยนั้น การส่งออกสินค้าอาหารแปรรูปนับเป็นสินค้าที่สำคัญชนิดหนึงที่มีการนำเข้าจากไทยมายังประเทศเคนยา มูลค่าประมาณปีละ 250-350 ล้านบาท (ปี 2567) ซึ่งผู้ส่งออกที่เกี่ยวข้องควรเตรียมการในเรื่องดังกล่าวในอนาคตต่อไป โดยกฎหมายนี้น่าจะเริ่มบังคับใช้จากผู้ผลิตรายใหญ่ในเดือนมีนาคม 2569 และบังคับทั้งหมดในปี 2570 ซึ่งหากมองถึงโอกาสของไทยแล้ว อาจเป็นโอกาสของการส่งออกสินค้าอาหารเฉพาะ เช่น อาหารน้ำตาลน้อย หรือ อาหารลดโซเดียม ที่มุ่งหวังเจาะตลาดของคนรักสุขภาพต่อไปเช่นกัน&nbsp;ผู้ส่งออกหรือนักธูรกิจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่&nbsp;E-mail:&nbsp;ของสำนักงานฯ ที่&nbsp;<a href="mailto:info@ocanairobi.co.ke">info@ocanairobi.co.ke</a>&nbsp;&nbsp;ที่มา :&nbsp;citizen tv

แปล_วิเคราะห์_2025_ July_ข่าว2.docx-เคนยาเตรียมออกกฎหมายฉลาก ป้ายเตือนด้านสุขภาพ -black warning label.pdf

medium_July 2.png

small_July 2.png

thumbnail_July 2.png

July 2.png

เคนยาเตรียมออกกฎหมายฉลาก “ป้ายเตือนด้านสุขภาพ (black warning label)” ในสินค้าอาหารแปรรูปภายในปี 2026 ประเทศแรกในทวีปแอฟริกา ความท้าทายที่ผู้ส่งออกอาหารไทยต้องเตรียมการรับมือ

ถึงแม้ว่าสถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านจะสงบลงชั่วคราวในขณะนี้ แต่นาย Mahfi Eğilmez &nbsp;นักเศรษฐศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของตุรกี ได้ออกมาเตือนถึงภัยคุกคามทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งที่ยังคุกรุ่นอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยในบทความของเขาที่มีชื่อว่า&nbsp;“Middle East Tensions and Turkey” &nbsp;&nbsp;ได้มีการสรุปถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งระบุไว้ว่าตุรกีเป็นประเทศที่มีความเปราะบางสูงต่อความไม่มั่นคงในภูมิภาค ทั้งจากตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจ&nbsp;หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง คือ การพึ่งพาการนำเข้าพลังงานของตุรกี เนื่องจากตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคหลักที่เป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซ ฉะนั้นความตึงเครียดที่มากขึ้นจะส่งผลให้ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย โดยนาย&nbsp;Eğilmez&nbsp;ระบุว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบ (Brent crude oil)&nbsp;ได้ขยับขึ้นจาก&nbsp;60 เหรียญสหรัฐฯ เป็น&nbsp;75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาณลบต่อบัญชีเดินสะพัดของประเทศ ที่ก่อนหน้านี้เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นจากราคาน้ำมันโลกที่เคยลดลง&nbsp;ราคาพลังงานที่สูงขึ้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการค้าดังที่ได้กล่าวข้างต้น แต่ยังลุกลามมาถึงประเด็นด้านเงินเฟ้อที่ควบคุมได้ยาก โดยนาย&nbsp;Eğilmez ชี้ให้เห็นว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อกำลังแผ่เข้ามาผ่านสองช่องทาง ประการแรกมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงาน ซึ่งจะดันราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้น ประการที่สอง คือ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้ต้นทุนความเสี่ยงทางการเงิน&nbsp;(Credit Default Swap) ของตุรกีพุ่งสูงขึ้น เงินทุนไหลออก และค่าเงินลีราของตุรกีอ่อนค่าลง และนอกจากนี้ เนื่องด้วยความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ นักลงทุนภายในประเทศเองจึงมีแนวโน้มที่จะถือครองสกุลเงินต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมภาวะอ่อนค่าของสกุลเงินลีรา ซึ่งถึงแม้ว่าค่าเงินที่อ่อนลงอาจช่วยกระตุ้นภาคการส่งออกในระยะสั้น แต่กระนั้น ผลประโยชน์ดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะต้านแรงกระแทกของเงินเฟ้อ และพิษเศรษฐกิจได้&nbsp;สถานการณ์ความขัดแย้งนี้ยังส่งผลต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากตุรกีมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ดีกับหลายประเทศในตะวันออกกลางซึ่งเป็นตลาดหลักในการส่งออกของตุรกี ดังนั้นหากความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น ก็อาจทำให้ประเทศเพื่อนบ้านประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและลดการนำเข้าสินค้าจากตุรกี รวมถึงในส่วนของภาคการท่องเที่ยวก็อาจเผชิญปัญหาในด้านของภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่าไม่ปลอดภัยในสายตานักท่องเที่ยว และหากสถานการณ์ประทุขึ้นมาอีกและบานปลายกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ตุรกีอาจต้องเตรียมรับมือกับคลื่นผู้ลี้ภัยระลอกใหม่ ซึ่งจะเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุขและงบประมาณของรัฐ และกระตุ้นให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง&nbsp;นอกจากประเด็นด้านเศรษฐกิจและสังคม ตุรกียังต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ แม้ในบทความของนาย&nbsp;Eğilmez&nbsp;จะไม่ได้กล่าวถึงโดยตรง แต่ผลกระทบทางการเมืองจากการที่ตุรกีเป็นสมาชิก&nbsp;NATO เช่น การมีฐานเรดาร์&nbsp;Kürecik&nbsp;ซึ่งคอยทำหน้าที่ตรวจตราน่านฟ้าในตะวันออกกลาง ก็เพิ่มความเสี่ยงให้กับอังการาเช่นกัน ยิ่งหากความขัดแย้งลุกลามไปเกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ก็จะส่งผลให้ตุรกีตกอยู่ในสถานการณ์ที่อ่อนไหวทางการทูตมากขึ้น โดยต้องรักษาสมดุลระหว่างพันธมิตรกับตะวันตก และความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์กับอิหร่าน&nbsp;จากที่กล่าวมาข้างต้น นาย&nbsp;Eğilmez จึงได้เสนอว่าตุรกีควรใช้โอกาสนี้ในการดำเนินการทูตเชิงรุก ผ่านการแสดงบทบาทนำในการคลี่คลายวิกฤตภูมิภาค เพราะหากไม่มีการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม วิกฤตดังกล่าวอาจกลายมาเป็น&nbsp;&nbsp;อุปสรรคใหญ่ที่ทำลายความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของตุรกี ทั้งในด้านการควบคุมเงินเฟ้อ การคลังสาธารณะ และการฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของตุรกีในช่วงเดือนต่อ ๆ ไป&nbsp;ข้อคิดเห็นจากสำนักงานฯ&nbsp;แม้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะสร้างความท้าทายให้กับเศรษฐกิจตุรกีในหลายมิติ แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของตุรกีในภูมิภาค จากตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเป็นสมาชิก&nbsp;NATO&nbsp;ทำให้ตุรกีมีศักยภาพในการเป็น&nbsp;“ตัวกลาง”&nbsp;ทางการทูต ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้แก่ภูมิภาค และลดผลกระทบทางเศรษฐกิจภายในประเทศในระยะยาว ดังนั้นการดำเนินนโยบายเชิงรุกทั้งด้านการทูตและเศรษฐกิจของตุรกีจึงไม่เพียงเป็นการรับมือกับวิกฤต แต่ยังเป็นโอกาสในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของตุรกีในเวทีโลกอีกด้วย&nbsp;ที่มา:&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://businessturkeytoday.com/middle-east-tensions-a-looming-challenge-for-the-turkish-economy.html">https://businessturkeytoday.com/middle-east-tensions-a-looming-challenge-for-the-turkish-economy.html</a>

ตุรกี

thumbnail_Picture1.jpg

Picture1.jpg

สคต. ณ กรุงอังการา (ตุรกี)

ความท้าทายต่อเศรษฐกิจตุรกีจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

medium_ลูกหมีขา.jpg

small_ลูกหมีขา.jpg

thumbnail_ลูกหมีขา.jpg

ลูกหมีขา.jpg

สคต. ณ เมืองชิงต่าว (จีน)

ตลาดขนมสัตว์เลี้ยงจีนที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภค Gen Z

Factsheet Taiwan May 2025.pdf

medium_Pic_ประจำเครื่อง.jpg

small_Pic_ประจำเครื่อง.jpg

thumbnail_Pic_ประจำเครื่อง.jpg

Pic_ประจำเครื่อง.jpg

Factsheet Taiwan May 2025

กระทรวงการคลังสนับสนุนอย่างเต็มที่การยกเลิกหรือผ่อนคลายระเบียบการนำเข้าที่รัฐบาล เพิ่งกำหนดสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์&nbsp;10&nbsp;ประเภท ซึ่งนโยบายดังกล่าวระบุไว้ในกฎกระทรวงการค้า (Permendag)&nbsp;ฉบับที่&nbsp;16&nbsp;ปี&nbsp;2568&nbsp;เรื่องนี้ระบุโดย นายอังกิจโต อาบิมันยู รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในการแถลงข่าวที่กระทรวงการค้า เมื่อวันจันทร์&nbsp;(30&nbsp;มิถุนายน&nbsp;2568)&nbsp;นายอังกิจโตกล่าวว่า เพื่อสนับสนุนนโยบายการยกเลิกระเบียบนี้ กรมศุลกากรและสรรพสามิตของกระทรวงการคลังจะดำเนินการติดตามการกำกับดูแลการนำเข้าสินค้าให้รวดเร็วขึ้น และจะรวมระบบเข้ากับระบบ CEISA"อันดับแรก เราต้องการให้แน่ใจว่ากระบวนการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว หนึ่งคือการผ่อนคลาย&nbsp;lartas (ข้อจำกัดและข้อห้ามในการนำเข้า)&nbsp;นี้ มี&nbsp;HS (พิกัดศุลกากร) 482&nbsp;รายการ กรมศุลกากรและสรรพสามิตได้ระบุ ไว้แล้ว"&nbsp;นายอังกิจโตกล่าวเมื่อวันจันทร์ (30&nbsp;มิถุนายน&nbsp;2568)ประการที่สอง กรมศุลกากรได้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเยียวยาแบบเร่งด่วนจาก&nbsp;40&nbsp;วันเหลือ&nbsp;14&nbsp;วัน ขณะที่อัตราค่าธรรมเนียมเยียวยาทางศุลกากรคือค่าธรรมเนียมเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าที่เกินขีดจำกัดการยกเว้น อากรขาเข้า อัตรานี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและมูลค่าทางศุลกากรนอกจากนี้ เขากล่าวว่ากรมศุลกากรจะให้ความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจ และการขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือ เป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูง"กระทรวงการคลัง โดยเฉพาะกรมศุลกากรและสรรพสามิต จะทำให้แน่ใจว่ากระบวนการทางธุรกิจ การขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือเป็นไปอย่างราบรื่น ขั้นตอนนี้สำคัญเพื่อป้องกันความล่าช้า การสะสม และต้นทุน ทางเศรษฐกิจที่สูงเนื่องจากกระบวนการที่ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้"&nbsp;นายอังกิจโตอธิบายนายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานฝ่ายเศรษฐกิจกล่าวว่า นโยบายการยกเลิกระเบียบนี้ เป็นความพยายามที่จะรักษาความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย ท่ามกลางความไม่แน่นอนอย่างมาก ของกิจกรรมการค้าโลก"วันนี้ ท่านประธานาธิบดีขอให้เสริมสร้างสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ และในขณะเดียวกันก็เสริมสร้าง เงื่อนไขระดับภูมิภาคกับประเทศอาเซียนหลายแห่ง"&nbsp;นายแอร์ลังกากล่าวระหว่างการประกาศนโยบาย ยกเลิกระเบียบการค้าที่สำนักงานกระทรวงการค้า กรุงจาการ์ตา เมื่อวันจันทร์&nbsp;(30&nbsp;มิถุนายน&nbsp;2568)มีสินค้าโภคภัณฑ์นำเข้า&nbsp;10&nbsp;รายการที่อยู่ภายใต้การยกเลิก/ผ่อนคลายระเบียบ สินค้าโภคภัณฑ์ทั้ง&nbsp;10&nbsp;รายการนี้มีการเปลี่ยนแปลงใน&nbsp;lartas (ข้อจำกัดและข้อห้ามในการนำเข้า)&nbsp;นี่คือรายการสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว:<ol><li>ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ สำหรับรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;441&nbsp;รายการ</li><li>ปุ๋ยอุดหนุน สำหรับรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;7&nbsp;รายการ</li><li>วัตถุดิบพลาสติก สำหรับรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;1&nbsp;รายการ</li><li>แซ็กคาริน,&nbsp;ไซลาเมต,&nbsp;สารปรุงแต่งกลิ่นที่มีแอลกอฮอล์ สำหรับรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;2&nbsp;รายการ</li><li>เชื้อเพลิงอื่น ๆ รวมรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;9&nbsp;รายการ</li><li>สารเคมีบางชนิด รวมรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;2&nbsp;รายการ</li><li>ไข่มุก รวมรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;4&nbsp;รายการ</li><li>ถาดอาหาร รวมรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;2&nbsp;รายการ</li><li>รองเท้า รวมรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;6&nbsp;รายการ</li><li>จักรยานสองล้อและสามล้อ รวมรหัส&nbsp;HS&nbsp;จำนวน&nbsp;4&nbsp;รายการ</li></ol>&nbsp;ความคิดเห็นของสำนักงานรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยกระทรวงการค้า ได้ประกาศยกเลิกหรือผ่อนคลายระเบียบการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์ 10 ประเภท ภายใต้กฎกระทรวงการค้า&nbsp;(Permendag)&nbsp;ฉบับที่&nbsp;16&nbsp;ปี&nbsp;2568&nbsp;โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกระทรวงการคลัง ซึ่งได้ปรับปรุงระบบการกำกับดูแลให้นำเข้าสินค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ผ่านการผ่อนคลายข้อจำกัด และข้อห้ามการนำเข้า&nbsp;และการลดระยะเวลาดำเนินการค่าธรรมเนียม&nbsp;remedial tariff&nbsp;จาก&nbsp;40&nbsp;วัน เหลือเพียง&nbsp;14&nbsp;วัน ครอบคลุมสินค้าหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์ป่าไม้ ปุ๋ย วัตถุดิบพลาสติก สารปรุงแต่ง เชื้อเพลิง สารเคมี ไข่มุก ถาดอาหาร รองเท้า และจักรยาน ซึ่งถือเป็นความพยายามในการเพิ่มความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนของการค้าโลก โดยได้รับการผลักดันจากประธานาธิบดีอินโดนีเซียให้เสริมสร้างเศรษฐกิจภายในและความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียน การยกเลิกระเบียบดังกล่าวถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มสินค้า 10 ประเภทข้างต้น เนื่องจากช่วยลดต้นทุนด้านเวลาและค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าเข้าสู่อินโดนีเซีย ทำให้การเข้าสู่ตลาดมีความคล่องตัวมากขึ้น ทั้งนี้ สคต.&nbsp;ณ กรุงจาการ์ตาจะประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ผู้ส่งออกไทยทราบต่อไป&nbsp;&nbsp;

อินโดนีเซีย

medium_wakil-menteri-keuangan--anggito-abimanyu-konferensi-pers-apbn-juni-2025-1762025-cnbc.jpeg

small_wakil-menteri-keuangan--anggito-abimanyu-konferensi-pers-apbn-juni-2025-1762025-cnbc.jpeg

thumbnail_wakil-menteri-keuangan--anggito-abimanyu-konferensi-pers-apbn-juni-2025-1762025-cnbc.jpeg

wakil-menteri-keuangan--anggito-abimanyu-konferensi-pers-apbn-juni-2025-1762025-cnbc.jpeg

สคต. ณ กรุงจาการ์ตา (อินโดนีเซีย)

กระทรวงการคลังอินโดนีเซียสนับสนุนการผ่อนคลายกฎระเบียบสินค้านำเข้า 10 รายการ

thumbnail_cover 618.png

cover 618.png

จีนช็อปปิงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมหกรรมลดราคา 618

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เปิดเผยว่าอินโดนีเซียจะลงนามข้อตกลงมูลค่า 34,000&nbsp;ล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อจากพันธมิตรของสหรัฐฯความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ข้อตกลงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์&nbsp;ทรัมป์&nbsp; ที่เรียกว่า "ภาษีศุลกากรตอบแทน"&nbsp;จะสิ้นสุดลงนายแอร์ลังกา&nbsp;ฮาร์ตาร์โต&nbsp;รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซียกล่าวว่า จะลงนามข้อตกลงในวันที่&nbsp; 7&nbsp;กรกฎาคม&nbsp;ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว&nbsp; รวมถึงการขยายการนำเข้าพลังงานและเกษตรกรรมของสหรัฐฯ&nbsp;และการกระตุ้นการลงทุนเขายังกล่าวด้วยว่าอินโดนีเซียหวังว่าจะสามารถได้รับอัตราภาษีที่ลดลง จากการซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ที่มากขึ้นรัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศ "ภาษีศุลกากรตอบแทน"&nbsp;ร้อยละ 32&nbsp;กับอินโดนีเซีย&nbsp;โดยระบุว่าอินโดนีเซียมีดุลการค้าเกินดุลเกือบ 18,000&nbsp;ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อถูกถามถึงการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ&nbsp;นายแอร์ลังกาตอบว่า "ยังรอก่อน"การเจรจาภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ&nbsp;เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ&nbsp;โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา&nbsp;เวียดนามประกาศเสร็จสิ้นข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ&nbsp;แล้ว&nbsp;ความคิดเห็นของสำนักงานเมื่อวันที่&nbsp;7 กรกฎาคม นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียเตรียมลงนามข้อตกลงการค้ากับสหรัฐอเมริกามูลค่า&nbsp;34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะในหมวดพลังงานและเกษตรกรรม พร้อมทั้งกระตุ้นการลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดแรงกดดันจากภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariffs)&nbsp;ที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศใช้กับอินโดนีเซียในอัตราร้อยละ 32 อันเป็นผลจากดุลการค้าของอินโดนีเซียที่เกินดุลสหรัฐฯ ประมาณ&nbsp;18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่นโยบายภาษีดังกล่าวจะสิ้นสุดลง และในขณะที่ประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ไปแล้ว ทั้งนี้&nbsp;ความเคลื่อนไหวของอินโดนีเซียแสดงให้เห็นถึงความพยายามเชิงรุกในการรักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงมาตรการทางภาษีที่อาจกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว ข้อตกลงดังกล่าวอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในอินโดนีเซีย และยังสะท้อนถึงการปรับนโยบายทางการค้าภายใต้แรงกดดันจากมหาอำนาจ ไทยควรติดตามผลของข้อตกลงนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นที่อาจส่งผลต่อการแข่งขันทางการค้ากับไทยในสินค้าเกษตรและพลังงาน

medium_weekly news id us 34 bil.PNG

small_weekly news id us 34 bil.PNG

thumbnail_weekly news id us 34 bil.PNG

weekly news id us 34 bil.PNG

อินโดนีเซียประกาศข้อตกลงมูลค่า 34 พันล้านเหรียญสหรัฐกับสหรัฐฯ

&nbsp; &nbsp;ธุรกิจอินเดียใน 9 ภาคส่วนที่มีศักยภาพ คาดว่าจะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีพลวัตในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของประเทศ โดยบริษัทที่ปรึกษา McKinsey &amp; Company ให้ข้อมูลว่า ธุรกิจทั้งเก้าจะสามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศประมาณ 588,000 - 738,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 หรือเติบโตมากกว่า 3.5 เท่าจากปี 2023 ที่มีรายได้รวมระหว่าง 164,000 ถึง 206,000 ล้านเหรียญสหรัฐ &nbsp; &nbsp; &nbsp;กลไกการเติบโตดังกล่าวขับเคลื่อนโดยธุรกิจทั้ง 9 ภาคส่วน ได้แก่ E-commerce เซมิคอนดักเตอร์ การให้บริการระบบคลาวด์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ &nbsp;ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ &nbsp;เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) &nbsp;อวกาศ &nbsp;ฟิชชันนิวเคลียร์ &nbsp;หุ่นยนต์ &nbsp;ซึ่งธุรกิจดังกล่าวที่ได้ถูกคัดเลือก จะถูกพิจารณาจากเกณฑ์ ได้แก่ 1 ) กิจกรรม ทางเศรษฐกิจที่มาจากการจดสิทธิบัตร ในจำนวนที่สูงกว่าค่ามัธยฐานถึงสองเท่า หรือ 2) การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับชาติสองเท่า ตัวอย่าง &nbsp;จากรายงานของบริษัท McKinsey คาดว่าธุรกิจ E-commerce จะมี รายได้เพิ่มขึ้น 4 เท่าจาก 60–70 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2023 เป็น 240–300 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2030 โดยคิดเป็นสัดส่วน 7–9% ของยอดค้าปลีกทั้งหมดในปี 2022–23 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 15–17% ภายในปี 2030 ทั้งนี้ ธุรกิจ E-commerce จะคิดเป็นสัดส่วน 40% ของรายได้รวมจากทั้ง 9 ภาคส่วนธุรกิจ สำหรับธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า จากมูลค่า 40–45 พันล้านเหรียญในปี 2023 เป็น 100–120 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2030<figure class="image"><img style="aspect-ratio:275/183;" alt="semi conduct AI.jpeg" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/semi_conduct_AI_06e0364cb2.jpeg" width="275" height="183"></figure> นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ยังมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น รายได้จากซอฟต์แวร์ AI (emerging AI software) คาดว่าจะเติบโต 5–8 เท่าในช่วง 7 ปีข้างหน้า โดยมีบริษัทอินเดียกว่า 77,000 แห่งที่เริ่มนำเทคโนโลยี Copilot มาใช้ และในขณะเดียวกัน การใช้ผู้ช่วย AI อัจฉริยะ (agentic AI) ก็กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันทำให้อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI เร่งระบบให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติที่เร็วขึ้น ในขณะเดียวกัน รายได้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคลาวด์ (ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI) คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4–5 เท่า ระหว่างปี 2023 ถึง 2030 จนแตะระดับ 70–80 พันล้านเหรียญสหรัฐ&nbsp; &nbsp; &nbsp; สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งกำลังเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างมาก กำลังเข้าสู่ช่วงขยายตัว โดยคาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้น 6–8 เท่า แตะระดับ 40–60 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นทศวรรษ นอกจากนี้ ภาคพลังงานนิวเคลียร์แบบฟิชชันมีแนวโน้มสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 4–5 เท่า ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมอวกาศ รัฐบาลอินเดียกำลังผลักดันอย่างเต็มที่ ยังมีแนวโน้มที่จะสร้าง รายได้เพิ่มขึ้นในระดับเดียวกันภายในปี 2030 โดยทั้งสองภาคส่วนนี้จำเป็นต้องลงทุนด้าน R&amp;D ในระดับสูง โดยเฉพาะฟิชชันนิวเคลียร์ที่ใช้สัดส่วนงบ R&amp;D คิดเป็น 8–10% ของรายได้รวม และภาคอุตสาหกรรมอวกาศที่จะมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมทั่วไปที่ประมาณ 2% ข้อมูลเพิ่มเติม&nbsp; 1.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทอินเดียหลายแห่งเร่งเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์เพื่อบุกตลาดเซมิคอนดักเตอร์ผ่านกลไกการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ (Acquisition) เช่น บริษัท Tata Electronics และ L&amp;T Semiconductor Technologies (LTSCT) ได้เร่งแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว มุ่งเติมเต็มช่องว่างด้านเทคโนโลยีและบุคลากรเพื่อสนับสนุนการลงทุนในโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าข้อตกลงทางธุรกิจเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทอินเดียเข้าถึงเทคโนโลยีเฉพาะทางได้ เช่น เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง เครื่องมือความแม่นยำสูง และการสร้างทักษะให้เกิดความชำนาญ ตัวอย่างเช่น บริษัท LTSCT และ Kaynes Semicon ได้เข้าซื้อธุรกิจ power modules ของ Fujitsu General Electronics จากญี่ปุ่น มูลค่า 14.25 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 118.34 โครว์อินเดีย) เพื่อเสริมศักยภาพในด้าน Outsourced Semiconductor Assembly and Test (OSAT) ขณะที่บริษัท Polymatech ได้เข้าซื้อ Nisene Technology Group จากสหรัฐอเมริกาเพื่อตั้งฐานการผลิตแบบครบวงจร นอกจากนี้ Tata Electronics กำลังเจรจาเข้าซื้อโรงงานในมาเลเซียด้าน fabrication และ OSAT เพื่อเสริมองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มดำเนินการผลิตในอินเดีย 2.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้อินเดียจะมีจุดแข็งด้านการออกแบบชิป แต่การยกระดับสู่วงจรการผลิตที่มีมูลค่าสูงต้องอาศัยความสามารถด้าน บรรจุภัณฑ์และการผลิตขั้นสูง ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนของอินเดีย ซึ่งบริษัท CDIL (ร่วมมือกับ Infineon จากเยอรมนี) ให้ข้อมูลว่า การถ่ายทอดความรู้จากต่างประเทศไปยังทีมในประเทศเป็นความท้าทายสำคัญ โดยบริษัท Counterpoint Research เสริมว่า อินเดียควรเน้นการเริ่มต้นในระดับโรงงาน (mature node foundries) และระดับการเตรียมความพร้อมด้านการประกอบ OSAT/ATMP ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเทคโนโลยีล้ำสมัยที่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกยังเป็นผู้เล่นในตลาด เช่น TSMC, Samsung และ Intel &nbsp;อนึ่งบริษัท Forrester ระบุว่า การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ เช่น wafer-level packaging, 2.5D/3D integration และ chiplet-based design ผ่านการเข้าซื้อกิจการ จะลดการพึ่งพาการนำเข้า และรองรับความต้องการจากบริษัทชั้นนำอย่าง Apple และ Intel ได้ดีขึ้น โดยรวมแล้ว แม้อินเดียยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการสร้างระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ที่สมบูรณ์ แต่กลยุทธ์การเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งสร้างศักยภาพและมาตรฐานระดับโลกในระยะยาว ผลกระทบทางเศรษฐกิจและความท้าทาย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับปัจจัยการนำเข้าเทคโนโลยีขั้นสูง: เมื่ออินเดียเร่งขยายภาคส่วนธุรกิจสำคัญอย่าง เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) และคลาวด์คอมพิวติ้ง ประเทศจะมีความต้องการเครื่องจักรเฉพาะทางที่บริหารจัดการตั้งแต่ชิ้นส่วนไปจนถึงวัสดุที่มีความซับซ้อน ซึ่งประเทศไทยสามารถตอบสนองได้ โดยเฉพาะในหมวดชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสำหรับการบรรจุภัณฑ์ขั้นสูง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.แรงผลักดันของอินเดียในการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ (Atmanirbhar Bharat/Self-Reliant India): นโยบายของอินเดียที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเอง เพื่อทดแทนการนำเข้า โดยเฉพาะในสาขาอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ อาจส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าสินค้าบางประเภทที่ไทยส่งออกในปัจจุบันลดลงในระยะยาว ข้อคิดเห็น &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; อินเดียตั้งเป้าหมายด้านอุตสาหกรรมชั้นสูง 9 ด้านที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีพลวัตและสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศ 7.38 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ประเทศไทยสามารถส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ในแต่ละปีคิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยกว่า 80% ของการส่งออกอยู่ในกลุ่มแผงวงจรไฟฟ้า (Integrated Circuits) ซึ่งมีตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และสิงคโปร์ เพื่อต่อยอดศักยภาพดังกล่าว รัฐบาลไทยควรส่งเสริมการลงทุนจากผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทยให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนในระดับโลก ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยกระดับบทบาทธุรกิจ จัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วนเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ให้กับอินเดียได้ โดยควรมุ่งเน้นการจัดหาวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความจำเพาะ ตัวเชื่อมต่อ อุปกรณ์ทดสอบ ชิ้นส่วนพาสซีฟ และส่วนประกอบยานยนต์ไฟฟ้า ควบคู่กับการสร้างความร่วมมือผ่านการทำข้อตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือร่วมพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบหุ่นยนต์ เซนเซอร์อัจฉริยะ และระบบอัตโนมัติ กับภาคเอกชนอินเดียที่ต้องการเร่งเสริมสมรรถนะ นอกจากนี้ สามารถพิจารณาจัดตั้งคลังสินค้า หน่วยประกอบ หรือความร่วมมือด้านวิจัยในอินเดียเพื่อใช้ประโยชน์จากมาตรการจูงใจ เช่น โครงการ PLI ของอินเดีย (ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี) รวมถึงแสวงหาโอกาสร่วมลงทุนในบริการด้าน AI คลาวด์ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ในธุรกิตฟินเทค อีคอมเมิร์ซ และการผลิต พร้อมทั้งใช้ประโยชร์จากการเข้าร่วมเวทีแสดงสินค้าเทคโนโลยีในอินเดียเพื่อสร้างเครือข่ายกับผู้ซื้อ ผู้ผลิต และผู้รวมระบบรายสำคัญของอินเดีย<figure class="image image_resized" style="width:42.53%;"><img alt="sector to Grow2-07-2025.png" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/sector_to_Grow2_07_2025_104c3cdad4.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_sector_to_Grow2_07_2025_104c3cdad4.png 166w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_sector_to_Grow2_07_2025_104c3cdad4.png 500w" sizes="100vw" width="500"></figure> &nbsp;ที่มา:&nbsp;1. https://www.business-standard.com/markets/news/a-738-bn-potential-9-sectors-set-to-redaw-india-s-global-growth-map-125062900459_1.html&nbsp; 2.https://economictimes.indiatimes.com/tech/technology/indian-firms-target-overseas-assets-to-fast-track-semiconductor-

อินเดีย

thumbnail_sector to Grow 07-2025.png

sector to Grow 07-2025.png

สคต. ณ เมืองมุมไบ (อินเดีย)

9 ธุรกิจที่จะกำหนดทิศทางใหม่ของแผนการเติบโตทางเศรษฐกิจอินเดีย ด้วยมูลค่าสูงถึง 7.38 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

สาธารณรัฐเช็ก

ข่าว 1 - 15 ก.ค. 68.pdf

medium_Picture1.jpg

small_Picture1.jpg

สคต. ณ กรุงปราก (สาธารณรัฐเช็ก)

เทรนด์ร้านอาหารในเช็ก: จาก Fine Dining ถึง Fast-Casual โอกาสใหม่สำหรับร้านอาหารไทย

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 การขนส่งข้ามพรมแดนของทางรถไฟจีน-ลาวสร้างสถิติสูงสุดใหม่ โดยแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในด้านปริมาณผู้โดยสารและปริมาณสินค้า ตามข้อมูลจากสถานีตรวจสอบชายแดนเข้า-ออกของท่าเรือโมฮานที่ชายแดนจีน-ลาวในมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันจันทร์ ท่าเรือรถไฟโมฮานได้ดำเนินการเดินทางของผู้โดยสารขาเข้าและขาออกมากกว่า 145,000 เที่ยวจาก 91 ประเทศและภูมิภาคในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 และร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบปีต่อปีตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินการรถไฟข้ามพรมแดนมากกว่า 4,400 ขบวน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งสร้างสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์ ตามรายงานของ&nbsp;CCTV News เมื่อวันจันทร์ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคิดเป็นร้อยละ 18.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 จากปีก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่าร้อยละ 53 เดินทางมาโดยไม่ต้องใช้วีซ่า เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 โดยนักท่องเที่ยวสามสัญชาติแรกคือนักท่องเที่ยวจากลาว ไทย และมาเลเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในด้านการขนส่งสินค้า บริการ&nbsp;Lancang-Mekong Express บนทางรถไฟจีน-ลาวระหว่างคุนหมิงและเวียงจันทน์ประสบความสำเร็จในการส่งมอบสินค้าภายใน 26 ชั่วโมง ขณะที่เส้นทางโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิระหว่างจีน-ลาว-ไทยลดระยะเวลาการขนส่งลงเหลือเพียง 40 ชั่วโมง ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ทางรถไฟจีน-ลาวขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนได้มากกว่า 3.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบเป็นรายปี นับตั้งแต่เปิดตัว ทางรถไฟจีน-ลาวขนส่งสินค้าได้มากกว่า 13 ล้านตัน ณ เดือนมิถุนายน 2568 โดยให้บริการแก่ประเทศพันธมิตร 12 ประเทศในโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง รวมถึงลาว ไทย และเวียดนาม สินค้าที่จัดส่งมีหลากหลายประเภทตั้งแต่ยางและปุ๋ยไปจนถึงสินค้ามากกว่า 3,000 ประเภท เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โฟโตโวลตาอิคส์ อุปกรณ์โทรคมนาคม&nbsp; และรถยนต์&nbsp;************************************ที่มา&nbsp;: Vientiane Times

ลาว

medium_messageImage_1751537802241.jpg

small_messageImage_1751537802241.jpg

thumbnail_messageImage_1751537802241.jpg

messageImage_1751537802241.jpg

สคต. ณ กรุงเวียงจันทน์ (สปป.ลาว)

การขนส่งข้ามพรมแดนทางรถไฟจีน-ลาว สร้างสถิติใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025

medium_อู่ฮั่นเปิด Duty Free แห่งแรก.jpg

small_อู่ฮั่นเปิด Duty Free แห่งแรก.jpg

thumbnail_อู่ฮั่นเปิด Duty Free แห่งแรก.jpg

อู่ฮั่นเปิด Duty Free แห่งแรก.jpg

อู่ฮั่นเปิด Duty Free แห่งแรก

ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ได้มีมติอนุมัติยกเลิกมาตรการการห้ามนำเข้าข้าวในฤดูกาลเก็บเกี่ยว และรัฐบาลเห็นชอบให้มีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศได้อย่างเสรี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้จนถึงสิ้นปีงบประมาณอิหร่าน (ประมาณปลายเดือนมีนาคม 2569) และเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างทันท่วงที&nbsp;อนึ่ง การห้ามนำเข้าข้าวตามฤดูกาลเป็นนโยบายที่บังคับใช้ทุกปีในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวของอิหร่าน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศ ปกติการห้ามนำเข้าข้าวจากต่างประเทศจะเริ่มขึ้นประมาณช่วงต้นเดือนสิงหาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายนของทุกปี นั่นคือช่วงที่ผลผลิตข้าวในอิหร่านส่วนใหญ่ออกสู่ตลาดและถูกส่งขายทั่วประเทศ โดยในช่วงที่มีการห้ามนำเข้าข้าวระยะสี่เดือนนี้ จะไม่มีการอนุญาตให้ขนถ่ายสินค้าข้าวจากต่างประเทศออกจากกรมศุลกากรอิหร่าน ซึ่งผู้นำเข้าข้าวชาวอิหร่านต้องถือปฏิบัติตามมาโดยตลอด มาตรการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อให้ตลาดอิ่มตัวด้วยข้าวที่ผลิตได้ในประเทศ และเกษตรกรสามารถขายผลผลิตของตนได้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งผู้กำหนดนโยบายมองว่าการห้ามนำเข้าข้าวนี้เป็นหนทางที่จะป้องกันไม่ให้ราคาข้าวอิหร่านลดลง และเป็นการรักษาแรงจูงใจในการปลูกข้าวของเกษตรกรชาวอิหร่านแม้ว่าก่อนหน้านี้การห้ามนำเข้าข้าวในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาของฝ่ายบริหารระหว่างกระทรวงเกษตรอิหร่านและกระทรวงอุตสาหกรรมและเหมืองแร่อิหร่าน &nbsp;ซึ่งปัจจุบันมาตรการดังกล่าวได้ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการในหมายเหตุประกอบบทที่ 10 วรรคที่ (8) ของหนังสือระเบียบการส่งออกและการนำเข้าสินค้าอิหร่านMr. Majid Reza Khaki เลขาธิการสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่าน เปิดเผยว่า การตัดสินใจให้มีการนำเข้าข้าวในฤดูกาลเก็บเกี่ยวดังกล่าวเกิดขึ้นตรงกับในช่วงเวลาที่ตลาดมีความต้องการบริโภคข้าวสูง คือ ช่วงเทศกาลเดือนมุฮัรรอมและเดือนซาฟาร์ (เดือนแห่งการไว้อาลัยและการแสวงบุญทางศาสนาในนิการยชีอะห์) ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ การพึ่งพาผลผลิตในประเทศเพียงอย่างเดียวนั้นอาจไม่พอเพียง รวมถึงนโยบายการไม่กักตุนสินค้าไว้ล่วงหน้ายามเกิดเหตุวิกฤต เป็นสาเหตุให้ในปัจจุบันเกิดการขาดแคลนข้าวและราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้นเหมือนกับปีที่ผ่านมาทั้งนี้ ตามสติถิของกระทรวงเกษตรอิหร่านปริมาณการผลิตข้าวอิหร่านในปีปัจจุบัน มีปริมาณ 1.8 ล้านตัน ซึ่งการยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าข้าวดังกล่าวจะช่วยรักษาวงจรอุปทานและเป็นการป้องกันภาวะตลาดตึงตัวที่เกิดจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ อีกนัยหนึ่งเรียกได้ว่า คือ การติดตามดูแลการนำเข้าข้าวอย่างใกล้ชิดและอยู่ในกรอบเฉพาะ แทนที่จะปิดกั้นการนำเข้าโดยสิ้นเชิง เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดและการผลิตในประเทศให้สามารถดำเนินไปตามธรรมชาติโดยไม่มีแรงกดดันMr. Khaki เลขาธิการสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่าน เปิดเผยว่า อิหร่านมีความต้องการบริโภคข้าวปีละประมาณ 3.5 ล้านตัน คาดว่าจะมีการนำเข้าข้าวประมาณ 1.4 ล้านตัน ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ยังไม่รวมปริมาณข้าวที่ใช้เพื่อการสำรองทางยุทธศาสตร์Mr. Khaki เลขาธิการสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่าน กล่าวว่า จากสถิติของกระทรวงเกษตรอิหร่านแสดงให้เห็นว่า จนถึงปัจจุบัน มีการลงทะเบียนแจ้งความประสงค์จากผู้นำเข้าที่จะนำเข้าข้าวขาวแล้วปริมาณ 250,000 ตัน และข้าวที่ยังไม่ผ่านการสีจำนวน 25,000 ตัน และ&nbsp;Mr. Khaki เลขาธิการสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่าน แสดงความคิดเห็นว่า การที่กระทรวงเกษตรอิหร่านตัดสินใจที่จะไม่นำเข้าข้าวบาสมาติอินเดียพันธ์ 1121 ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 60 ของข้าวนำเข้าทั้งหมดนั้นจะส่งผลกระทบในเชิงลบ และความไม่สมดุลของตลาดและสร้างความเสียหายต่อ&nbsp; ผู้นำเข้าข้าว ซึ่งทาง&nbsp;Mr. Khaki เลขาธิการสมาคมผู้นำเข้าข้าวอิหร่าน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้จะได้รับการพิจารณาใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตามการไม่นำเข้าข้าวบาสมาติอินเดียพันธ์ 1121 ตามการพิจารณาของกระทรวงเกษตรอิหร่านนั้น มีสาเหตุอันเนื่องมาจากการตรวจสอบพบว่า มีการปลอมแปลงและผสมผสานพันธ์ข้าวชนิดอื่นที่มีคุณภาพต่ำและลักษณะเมล็ดข้าวใกล้เคียงกับข้าวบาสมาติอินเดียพันธ์ 1121 จริง&nbsp;

อิหร่าน

medium_01.png

small_01.png

thumbnail_01.png

01.png

สคต. ณ กรุงเตหะราน (อิหร่าน)

รัฐบาลอิหร่านไฟเขียวให้มีการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศในฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต

เยอรมนี

medium_แนวโน้มสินค้าจากเยอรมนี_20250707.jpg

small_แนวโน้มสินค้าจากเยอรมนี_20250707.jpg

thumbnail_แนวโน้มสินค้าจากเยอรมนี_20250707.jpg

แนวโน้มสินค้าจากเยอรมนี_20250707.jpg

สคต. ณ กรุงเบอร์ลิน (เยอรมนี)

สงครามราคาทำให้ Lidl และ Aldi เสียรายได้เป็นพันล้านฯ

นิวซีแลนด์

ข้อมูลการค้า NZ_April  25.pdf

large_00A35A3C-FF7C-4C88-AB70-D92AFB4D9BC1.jpg

medium_00A35A3C-FF7C-4C88-AB70-D92AFB4D9BC1.jpg

small_00A35A3C-FF7C-4C88-AB70-D92AFB4D9BC1.jpg

thumbnail_00A35A3C-FF7C-4C88-AB70-D92AFB4D9BC1.jpg

00A35A3C-FF7C-4C88-AB70-D92AFB4D9BC1.jpg

สคต. ณ นครซิดนีย์ (ออสเตรเลีย)

ข้อมูลสถานการณ์การค้าประเทศนิวซีแลนด์ เดือนเมษายน 2568

ออสเตรเลีย

ข้อมูลการค้าAUS_April 25 แก้ไข.pdf

large_Aus import export.png

medium_Aus import export.png

small_Aus import export.png

thumbnail_Aus import export.png

Aus import export.png

ข้อมูลสถานการณ์การค้าประเทศออสเตรเลีย  เดือนเมษายน 2568

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 ซึ่งเมืองมัณฑะเลย์ เนปยีดอ และสกาย ได้รับผลกระทบและเสียหายมาก โดยที่ผ่านมาได้รับความช่วยเหลือและช่วยฟื้นฟูจากทั้งเมียนมาและนานาประเทศแล้วนั้น พลเอกอาวุโส มิน ออง ไลง์ ประธานสภาบริหารแห่งรัฐและนายกรัฐมนตรีของเมียนมา กล่าวถึง 3 เสาหลัก ฟื้นฟูเศรษฐกิจเมียนมาหลังแผ่นดินไหว ได้แก่ 1. การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการคุ้มครองทางสังคม&nbsp;ให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบมากกว่า 6 แสนคน 2. การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น ซ่อมถนน ซ่อมสะพาน ฟื้นฟูภาคเกษตรและธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ โดยมุ่งเน้นฟื้นฟู 5 สาขาเศรษฐกิจ ได้แก่ การขนส่ง พลังงาน โทรคมนาคม การเกษตร โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ 3. การปฏิรูปและส่งเสริมความร่วมมือระดับโลก&nbsp;เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุม รองรับภัยพิบัติหรือความเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างยั่งยืนผลกระทบ/โอกาส 3 เสาหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจเมียนมาหลังแผ่นดินไหวดังกล่าว เป็น “โอกาส” ในการพัฒนาของเมียนมา ทั้งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและคุ้มครองทางสังคม การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและฟื้นฟูเศรษฐกิจในสาขาที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือระดับโลกเพื่อรองรับความเสี่ยงต่างๆ ในอนาคตข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะ ขอให้ผู้ประกอบการไทยติดตามสถานการณ์และพิจารณาประเด็นทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแนวทางการฟื้นฟูของเมียนมาหลังแผ่นดินไหวดังกล่าว จะเป็นโอกาสของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น วัสดุก่อสร้าง เพื่อใช้ซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน อาคารบ้านเรือน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ “ประโยชน์ร่วมกัน” ของไทยและเมียนมา ทั้งระดับธุรกิจ ประชาชน และประเทศ ซึ่งจะเป็นประตูสู่ความอย่างยั่งยืนร่วมกันต่อไป********************************************ที่มา: นสพ.Global New Light of Myanmarสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง

ข่าว   3 เสาหลัก ฟื้นฟูเศรษฐกิจเมียนมาหลังแ.pdf

thumbnail_Picture1.png

Picture1.png

3 เสาหลัก ฟื้นฟูเศรษฐกิจเมียนมาหลังแผ่นดินไหว 

large_รูปบูท.jpg

medium_รูปบูท.jpg

small_รูปบูท.jpg

thumbnail_รูปบูท.jpg

รูปบูท.jpg

สคต. ณ เมืองเซี่ยเหมิน (จีน)

เชื่อมโลกค้าขายดิจิทัล โปรโมทร้าน Top Thai และ Thaitrade.com  ในงาน ICEIE เซี่ยเหมิน 2025

large_1 july.jpg

medium_1 july.jpg

small_1 july.jpg

thumbnail_1 july.jpg

1 july.jpg

1 กรกฎาคม 2568 ความเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อวิถีชีวิตชาวออสเตรเลีย 

Fact Sheet Australia May 2025.pdf

Fact Sheet Australia May 2025

อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์สหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์ เช่น เบรค ระบบบังคับเลี้ยว (steering mechanism) ที่นั่ง ที่ปัดน้ำฝน ประตู และระบบเสียง เป็นต้น ที่ต้องใช้ rare earth magnet เป็นวัตถุดิบในการผลิต สาเหตุการขาดแคลนสืบเนื่องมาจาก รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายควบคุมการส่งออก ด้วยการบังคับผู้ผลิตและส่งออก rare earth magnet&nbsp; จัดทำระบบอิเล็กทรอนิกส์ติดตามสินค้าและรายงานแจ้งปริมาณการค้าและชื่อของลูกค้า เพื่อรับคำอนุมัติให้ส่งออกได้ ทำให้กระบวน&nbsp; การส่งออกต้องใช้เวลานานกว่าเดิมการติดขัดของระบบห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนอุปทาน ส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์ Ford ของสหรัฐฯต้องยุติการผลิตรถยนต์นานกว่าสามสัปดาห์แล้ว แม้ว่า ในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่แร่ธาตุหายาก – rare earth เป็นเงื่อนไขสำคัญในการเจรจา โดยสหรัฐฯ และจีน ตกลงยอมรับกรอบการทำงาน ที่จีนจะยินยอมผ่อนปรนการควบคุมการส่งออก rare earth magnet และจะเร่งกระบวนการออกใบอนุญาตส่งออกไปยังผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯและสหภาพยุโรปให้เร็วมากยิ่งขึ้น และให้กลับเข้าสู่สภาวะเดิมก่อนเกิดสงครามทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯ จะผ่อนปรนการควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนเครื่องยนต์เจ็ทและซอฟแวร์ไปยังจีน แต่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์สหรัฐฯ ยังคงเห็นถึงความเสี่ยงของการพึ่งพา rare earth magnet จากจีนมากเกินไปและความจำเป็นต้องเร่งหาอุปทานทางเลือกอื่นไว้รองรับ&nbsp; rare earth magnet ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตรถยนต์แต่อย่างเดียว หากยังเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิต เครื่องมือสื่อสาร เช่น cell phone การผลิต computer hard drives การผลิตเครื่องมือในการสร้างพลังงานสะอาด เช่นพลังงานลม เครื่องมือหลายรายการที่จำเป็นต้องใช้ในทางการแพทย์ ในภาคอุตสาหกรรม และในการผลิตสินค้าเทคโนโลยี่ก้าวหน้า เช่น AI และอุตสาหกรรมอวกาศ รวมถึงอุปกรณ์สำคัญๆทางการทหารหลายรายการที่มา: 1. Quartz: “Car companies are in 'full panic' as China blocks rare-earth magnets: There are signs that China is slowly easing up on &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; restrictions that are crippling supply chains, Updated June 09, 2025, By Joseph Zeballos-Roig &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. SupplyChainBrain: “Ford Forced to Idle Multiple U.S. Plants Over China Magnet Shortage”, By Bloomberg, July 1, 2025 &nbsp;ข้อมูลเพิ่มเติม และข้อคิดเห็น สคต ลอสแอนเจลิส 1. มีประมาณการณ์ว่าตลาด rare earth magnet สหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 86 ล้านเหรียญฯในปี 2567 ความต้องการมีการเติบโตอย่างมากและต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปี 2032 มูลค่าตลาดจะเท่ากับ 175 ล้านเหรียญฯ&nbsp; 2. Rare earth magnet ที่เป็นที่นิยมและต้องการมากที่สุดในสหรัฐฯ คือ Neodymium-iron-boron (NdFeB) และ Samarium Cobalt (SmCo) ที่เป็น rare earth magnets พื้นฐาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3. แม้ว่าสหรัฐฯ จะผลิต rare earth magnet ได้แต่ไม่พอเพียงต่อความต้องการบริโภคในประเทศ จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าจากจีน 4. ประเทศไทยมีการผลิตแร่หายากที่อาจนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต rare earth magnet ได้ แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็ยังมีโอกาสในการผลิตส่งออก หรืออาจเป็นฐานการผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ rare earth magnet ได้ รายงานของ U.S. Geological Survey (USGS) ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่สามารถผลิต Rare Earths ได้ ผลผลิตประมาณ 13,000 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 สูงถึงร้อยละ 261 และมีโรงงานผลิตที่โคราช<figure class="image"><img alt="TTCLA_USNews_July2025_W1_1.jpg" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg 197w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg 750w" sizes="100vw" width="750"></figure>&nbsp;

TTCLA_USNews_July2025_W1_Rare Earth Magnet.pdf

สคต. ณ นครลอสแอนเจลิส (สหรัฐอเมริกา)

สหรัฐอเมริกาขาดแคลน rare earth magnets สำหรับการผลิตรถยนต์

สหรัฐอเมริกา ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน “Mexico–United States Semiconductor Collaboration Forum” เมือง Phoenix รัฐ Arizona เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การประชุมดังกล่าวมุ่งเน้นการหารือเพื่อยกระดับความร่วมมือระดับภูมิภาคในการเสริมสร้างนวัตกรรม ขยายห่วงโซ่อุปทาน ดึงดูดการลงทุน และวางแนวทางพัฒนาทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 100 คน จากภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ และองค์กรต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ตามรายงานของ Arizona Commerce Authority พบว่าในปี 2024 การส่งออกจาก Arizona ไปยังเม็กซิโกมีมูลค่าสูงถึง 8,900 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์กว่า 824 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ รัฐบาลเม็กซิโกมีแผนยุทธศาสตร์ในการผลักดันให้เม็กซิโกเป็นผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของโลก โดยหนึ่งในสินค้ายุทศาสตร์สำคัญคือเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของสินค้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิดในปัจจุบัน เม็กซิโกมีจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งที่เอื้อต่อการป้อนวัตถุดิบและชิ้นส่วนให้กับตลาดสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกา โดยมีรัฐ Nuevo León และ Jalisco ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีแห่งใหม่ของเม็กซิโก โดยเฉพาะในด้านการประกอบชิปอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ กระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโกเปิดเผยว่าผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐต้องการที่จะย้ายฐานการผลิตมายังเม็กซิโก ดังนั้น รัฐบาลจะต้องพิจารณากฎระเบียบที่สามารถส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตได้ ซึ่งรวมถึงการผลักดันความตกลง USMCA ในอนาคต&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Claudia Sheinbaum ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์เป็นสองเท่า พร้อมดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2029 เพื่อจัดตั้งโรงงานประกอบ ทดสอบ และบรรจุภัณฑ์ (Assembly, Test and Packaging – ATP) และเพิ่มการลงทุนในสายการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศ เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิต (Nearshoring) เข้ามายังเม็กซิโกของบริษัทต่างชาติ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; จากข้อมูลของกระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโก และธนาคารกลางเม็กซิโก (Banxico) พบว่า ในปี 2024 เม็กซิโกนำเข้าสินค้าภายใต้พิกัดศุลกากร HS Code 8541 (ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์อื่นๆ) มูลค่า 3.89 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแหล่งนำเข้าหลัก ได้แก่ จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน และไทย ในปี 2025 (ม.ค. - เม.ย.) การนำเข้าสินค้าดังกล่าวมีมูลค่า 1.09 พันล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 12.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี การนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยมีมูลค่า 27.25 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.55 จากช่วงเดียวกันของปี 2024 ในขณะที่การนำเข้าจากมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญของเม็กซิโก ลดลงร้อยละ 44.03 และร้อยละ 22.98 ตามลำดับ สถิติดังกล่าวสะท้อนถึงแนวโน้มในการขยายส่วนแบ่งตลาดของไทยในสินค้ากลุ่มนี้ปัจจุบัน รัฐบาลเม็กซิโกมีแผนผลักดันให้เม็กซิโกเป็นศูนย์กลางการผลิตทั้งสินค้าและวัตถุดิบในอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อป้อนให้ตลาดในภูมิภาคอเมริกาและลาตินอเมริกา ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจะมีโอกาสในการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์สำเร็จรูปให้แก่บริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ซึ่งมีจำนวนมากในเม็กซิโก รวมไปถึงชิ้นส่วนเทคโนโลยีประกอบร่วมหรือเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ ชิ้นส่วนวงจรพิมพ์ วัสดุเคมีและโลหะเฉพาะทาง ซึ่งหากไทยสามารถพัฒนาและส่งออกสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากลก็จะเป็นโอกาสให้ไทยเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั้งในเม็กซิโก ภูมิภาคอเมริกาและลาตินอเมริกา ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาวได้&nbsp;สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเม็กซิโกแหล่งที่มา-Mexican Governmenthttps://www.gob.mx/se/prensa/mexico-y-estados-unidos-fortalecen-su-alianza-estrategica-en-semiconductores-con-participacion-historica-en-foro-binacional-en-arizonahttps://www.planmexico.gob.mx/-Ministry of Economyhttps://www.economia.gob.mx/datamexico/es/profile/product/diodes-transistors-and-similar-semiconductor-Central Bank of Mexicohttps://www.banxico.org.mx/CuboComercioExterior/

เม็กซิโก

medium_เม็กซิโกสหรัฐ ปั้นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอ.png

small_เม็กซิโกสหรัฐ ปั้นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอ.png

thumbnail_เม็กซิโกสหรัฐ ปั้นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอ.png

เม็กซิโกสหรัฐ ปั้นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอ.png

สคต. ณ กรุงเม็กซิโก (เม็กซิโก)

เม็กซิโก–สหรัฐฯ จับมือปั้นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์ใหม่ในอเมริกาเหนือ

องค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ (Knowledge of international trade)