สงครามแย่งคะแนนเสียงการเลือกตั้งได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ในอีกไม่นานนี้ จะมีการเลือกตั้งระดับประเทศอีกครั้ง พรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD – Sozialdemokratische Partei Deutschlands) กำลังวุ่นอยู่กับการหาเสียง โดย SPD เริ่มจัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค 2 วันรวด และได้ออกมาโจมตีนาย Friedrich Merz ตัวแทนผู้สมัครแข่งขันชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากกลุ่ม Union หรือกลุ่มสหภาพ ซึ่งประกอบด้วยพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU – Christlich Demokratische Union Deutschlands) และพรรคสหภาพสังคมนิยมคริสต์เตียนแห่งนครรัฐบาวาเรีย (CSU – Christlich-Soziale Union in Bayern) และในเวลาเดียวกัน SPD ก็ได้นำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของตัวเอง โดยครอบคลุมเนื้อหาที่มุ่งเน้น (1) ลดภาระให้กับ 95% ของผู้เสียภาษีในประเทศ (2) นโยบายผลักดันการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ (3) ค่าแรงขั้นต่ำ 15 ยูโร (4) สร้างแรงจูงใจด้านภาษีสำหรับสินค้า “Made in Germany” (5) ปฏิรูปการรักษางบประมาณที่สมดุล (Ger; Schuldenbremse, Eng: balanced budget amendment) และ (6) มาตรการอื่น ๆ เพื่อลดราคาค่าไฟฟ้าแก่ประชาชน โดยนาย Lars Klingbeil หัวหน้าพรรค SPD กล่าวในช่วงเริ่มต้นการประชุมว่า “เราต้องการที่จะชนะ เราต้องการให้ SPD ออกสู่สนามการเลือกตั้ง อย่างแข็งแกร่งที่สุด และสามารถแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง” ซึ่งแน่นอนว่าเส้นทางนี้น่าจะเป็น “เส้นทางที่ยากลำบาก” คำถามสำหรับผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง คือ “คุณต้องการให้นาย Friedrich Merz หรือนาย Olaf Scholz (SPD) เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้” ภายใน SPD เอง “ไม่ได้มีการถกเถียงเรื่องบุคลากร เราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่านาย Olaf Scholz จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป” โดยพรรค SPD จะลงคะแนนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคำถามว่าใครจะเข้าเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกฯ ในเดือนมิถุนายนของปีหน้า โดยสิ่งที่ SPD ต่อต้านอย่างจริงจัง ได้อก่ (1) การจำกัดค่าจ้าง (2) การตัดเงินบำนาญ (3) การจำกัดสิทธิ์ในการนัดหยุดงาน (4) การแปรรูประบบโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ หรือ (5) การยกเลิกการลงทุนสาธารณะ

 

พรรค SPD เห็นว่า “แนวคิด (ที่เราต่อต้าน) เหล่านี้ถูกนำเสนอครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านพรรค CDU ภายใต้การนำของนาย Friedrich Merz ซึ่งพรรค SPD เห็นว่า เป็นแนวคิดที่ผิดกับความต้องการของประเทศ” ซึ่งในร่างมติคณะกรรมการบริหารพรรค SPD ที่เปิดเผยต่อหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ว่า ตามที่นาย Merz สนับสนุน “ให้กล้าเสี่ยงกับทุนนิยมมากขึ้น” แม้จะไม่ใช่ทางออกในการพาเยอรมนีก้าวข้ามวิกฤติ แนวคิดที่เป็นเอกสารความยาว 6 หน้า แสดงให้เห็นข้อมูลดังกล่าว โดยพรรค SPD ต้องแน่ใจว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ทำให้เกิดการแบ่งแยกสังคมออกเป็นผู้ชนะ และผู้แพ้รายใหม่ และจะยืนหยัดเคียงข้างกลุ่มลูกจ้าง ในขณะเดียวกัน SPD ต้องการสนับสนุนให้บริษัทต่าง ๆ ลงทุนในเยอรมนีมากขึ้นอีกครั้ง นโยบายที่เรียกว่า ค่าเสื่อมราคาขั้นสูงสุด และโบนัสภาษี นโยบายจะมีไว้เพื่อช่วยสนับสนุนบริษัทเอกชน ตามเอกสารดังกล่าวนโยบายเหล่านี้มีไว้สำหรับผลักดัน “การลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และการจ้างงานที่ดีมีคุณภาพในเยอรมนี ใครก็ตามที่ลงทุนในเยอรมนีควรที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีพรรค SPD เชื่อว่า การลดภาษีนิติบุคคลเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองกับเป้าหมายที่พรรคตั้งไว้ แต่การลดภาษีนิติบุคคล คือ สิ่งที่ CDU และ CSU กำลังวางแผนอยู่ สิ่งนี้สร้างความแตกต่างในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งระดับประเทศ ทั้ง 2 พรรคกลุ่ม Union และผู้สมัครอันดับต้น ๆ ของพวกเขาอย่างนาย Friedrich Merz ต่างก็ออกมาปฏิเสธที่จะสนับสนุนบริษัทเป็นบริษัทไป นาย Merz กล่าวในการประชุมพรรค CSU เมื่อสุดสัปดาห์ว่า นโยบายเศรษฐกิจไม่ไช่การให้เงินอุดหนุนที่สูงสำหรับกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่เป็น “การสร้างเงื่อนไขกรอบการทำงานที่ดี และดีที่สุดสำหรับทุกคน” แต่กลุ่ม Union ต้องการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลเพื่อขยายความสามารถในการแข่งขันระดับสากล บริษัทควรถูกเก็บภาษีแบบเป็นกลางไม่คำนึงถึงรูปแบบทางกฎหมาย (Legal Form Neutrality) ด้านนาย Merz ชี้แจงในประเด็นดังกล่าวและให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Handelsblatt ว่า “บริษัททั้งหมดควรจะถูกเก็บภาษีเท่าเทียมกัน ไม่คำนึงถึงรูปแบบทางกฎหมาย บริษัทเหล่านี้จะถูกเก็บภาษีตามกฎหมายภาษีนิติบุคคลที่เหมือนกัน ห้างหุ้นส่วนจำกัดจะไม่ถูกเก็บภาษีตามภาษีเงินได้อีกต่อไป” นอกจากนี้กลุ่ม Union ยังต้องการที่จะลดอัตราภาษีเงินได้ลง และขยายอัตราภาษีสูงสุดออกไป กลุ่ม Union ต้องการแบ่งเบาภาระผู้มีรายได้น้อยด้วยลดเงินสมทบประกันสังคมลง นาย Klingbeil หัวหน้าพรรค SPD ได้ประกาศว่า การต่อสู้เกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมจะกลายเป็นประเด็นหลักในการถกเถียงโดยเฉพาะกับพรรค CDU โดยเอกสารแนวคิดฉบับนี้ของ SPD สรุปมาตรการทั้งหมดภายใต้ชื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจ การงานมั่นคง แบ่งเบาภาระแรงงาน”

 

อีกครั้งที่พรรค SPD ออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการรักษางบประมาณที่สมดุล (Schuldenbremse) และเรียกร้องให้มีการจัดตั้งกองทุนเยอรมนี (Deutschlandfond) เพื่อระดมเงินทุนจากเอกชน และสาธารณะสำหรับการลงทุนในอนาคต เพราะประเทศสมัยใหม่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่นาย Merz ผู้สมัครนายกฯ ของกลุ่ม Union ยังสนับสนุนให้มีการระดมเงินทุนภาคเอกชนสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น และชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการระดมเงินทุนภาคเอกชนผ่านค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าทางด่วน โดยนาย Merz ปฏิเสธการปฏิรูป Schuldenbremse ถ้าหากประเทศยังไม่มีระเบียบวินัยด้านงบประมาณอย่างเด็ดขาด และนาย Merz ได้ออกมาประเมินเรื่องดังกล่าวไว้ในการประชุมพรรคครั้งล่าสุดในเมือง Augsburg ว่า “ขนาดมี Schuldenbremse รัฐบาลกลางชุดนี้กำลังสร้างหนี้ใหม่สูงถึง 100,000 ล้านยูโรในปีนี้ และปีหน้า”

 

สิ่งที่กลุ่ม Union เรียกร้องมานานแล้วอย่าง การลดราคาพลังงาน และลดภาระของเอกชนที่เกิดจากภาครัฐให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในที่สุดพรรค SPD ก็สนับสนุนข้อเสนอของนาย Olaf Scholz ภายหลังจากที่มีการถกเถียงภายในพรรคมาเป็นเวลานาน โดยนาย Scholz ต้องการแบ่งเบาภาระค่า พลังงานไฟฟ้าให้กับภาคเอกชน เอกสารของพรรค SPD ฉบับนี้ ได้ระบุถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า “ด้วยมาตรการที่เสนอโดยนายกรัฐมนตรี  SPD ต้องการให้มีการระบุมาตรการที่ครอบคลุมถึงราคาไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมแบบที่สามารถทำให้มีการแข่งขันอย่างยั่งยืนและยุติธรรม ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการบรรเทาทุกข์ทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” อย่างไรก็ตามสมาชิกกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการบรรลุข้อตกลงในประเด็นดังกล่าว นอกจากนี้พรรค SPD ยังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับอนาคตของการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในเอกสารดังกล่าวว่า “หลังจากที่มีการหารือกับภาคอุตสาหกรรม และสหภาพแรงงาน เราจะตรวจสอบนโยบายสร้างแรงจูงใจผลักดันให้มีการซื้อเกิดขึ้น เพื่อที่จะช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมของประเทศโดยเฉพาะ” นอกจากนี้ SPD ยังมีการวางแผนจะบังคับให้มีการระบุโควตารถ EV ขั้นต่ำสำหรับผู้ให้บริการเช่าซื้อรถยนต์ (Leasing) และส่วนลดภาษีสำหรับรถบริษัทที่เป็นรถ EV

 

ในส่วนของค่าแรงขั้นต่ำ สำหรับ SPD ค่าแรงขั้นต่ำที่ต้องจ่ายให้แก่พนักงานควรเพิ่มขึ้นเป็น 15 ยูโรต่อชั่วโมง“ อย่างไรก็ตามกลุ่ม Union ได้ออกมาปฏิเสธนโยบายดังกล่าวและต้องการให้ยกเลิก “การเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำทางการเมือง” ได้แล้ว โดยกลุ่ม Union ให้ความสำคัญกับเรื่อง “การนำภาคการเมืองออกจากการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ และเปลี่ยนเป็นค่าแรงขั้นต่ำให้คำนวณตามสถิติ” ดังที่นาย Dennis Radtke สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มแรงงาน จากพรรค CDU เรียกสิ่งนี้ว่า ปัจจัยชี้ขาดว่าค่าแรงขั้นต่ำควรจะสูงหรือต่ำขนาดไหน นั้นควรจะดำเนินแบบควบคู่กันไปกับเป็นการพัฒนาตัวของค่าแรงทั่วไปของประเทศ นอกจากนี้ เช่นเดียวกันกับการรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้งระดับประเทศปี ​​2021 ดังที่เอกสารที่กล่าวมาข้างต้นระบุพรรค SPD ยังต้องการแบ่งเบาภาระของผู้เสียภาษี 95% ของประเทศด้วยการ “ปฏิรูปภาษีเงินได้ขั้นพื้นฐาน” ในทางกลับกัน SPD ต้องการทำให้ผู้มีรายได้สูงสุด 1% ของประเทศ “มีความรับผิดชอบมากขึ้น” คณะกรรมการพรรค SPD ได้เรียกร้องให้รัฐสภาเยอรมันเร่งผ่านพระราชบัญญัติกฎหมายความซื่อสัตย์ทางภาษี (Bundestariftreuegesetz) และแพ็คเกจเงินบำนาญ II ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย ซึ่งแน่นอนที่จะมีคำวิจารณ์มาจากพรรค CDU ในทันที นาย Manuel Hagel ประธานกลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค CDU ในรัฐสภารัฐ Baden-Württemberg กล่าวกับ Handelsblatt ว่า“เอกสารของ SPD ฉบับนี้ ถือเป็นลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลตัวเอง พรรค SPD ก็เป็นผู้คัดสรรนายกรัฐมนตรี และอยู่ในรัฐบาลอยู่แล้ว ทำไมไม่ดำเนินการเลย รออะไรอยู่”

 

จาก Handelsblatt 8 พฤศจิกายน 2567

en_USEnglish