หลังจากมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย นายอาเล็กซานแดร์ ฟาน แดร์ เบลเลน (Alexander Van der Bellen) ได้ออกประกาศในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ให้พรรคประชาชนออสเตรีย (ÖVP) ซึ่งได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับสองเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยออสเตรีย (SPÖ) ซึ่งได้รับคะแนนเสียงมากเป็นลำดับที่สาม ขณะที่พรรคอิสรภาพออสเตรีย (FPÖ) ซึ่งได้รับคะแนนเสียงมากเป็นอันดับที่หนึ่งต้องไปเป็นฝ่ายค้าน เนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองใดประสงค์ร่วมรัฐบาลด้วย นอกจากนี้ ยังมีคะแนนเสียงใกล้เคียงกับพรรค ÖVP ซึ่งได้ที่สอง จึงทำให้พรรค ÖVP สามารถขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้
การตัดสินใจของประธานาธิบดีฟาน แดร์ เบลเลน เกิดขึ้นหลังจากที่ได้เชิญผู้นำพรรคทั้งสามพรรคข้างต้นแต่ละพรรคเข้าพบหารือเพื่อพิจารณาหาทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล และครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของออสเตรียที่พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงมากเป็นอันดับสองได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและพรรคที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งต้องไปเป็นฝ่ายค้าน (ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2542) ทั้งนี้ พรรค ÖVP ได้มีการประชุมนัดแรกกับพรรค SPÖ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ซึ่งคาดว่าจะดึงพรรคเล็กอีกหนึ่งพรรค คือพรรค NEOS เข้ามาร่วมรัฐบาล
ผลการเลือกตั้งทั่วไปของออสเตรียเมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 ที่ผ่านมาได้สร้างปรากฏการณ์หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ เมื่อพรรค FPÖ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ขวาสุดโต่งนำพรรคโดยนายแฮร์แบร์ต คิกเคิ่ล (Herbert Kickl) ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ร้อยละ 28.85 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.68) ได้ที่นั่งในสภา 57 ที่นั่ง (เพิ่มขึ้น 26 ที่นั่ง) ตามมาด้วยพรรค ÖVP ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลเดิม มีอุดมการณ์กลางขวา ครั้งนี้ได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 26.27 (ลดลงร้อยละ 11.19) คิดเป็นจำนวนผู้แทน 51 คน ลดลง 20 คน จากการเลือกตั้งครั้งก่อนในปี 2562 ขณะที่พรรคที่ได้คะแนนสูงเป็นอันดับที่สาม ได้แก่ SPÖ ซึ่งมีแนวนโยบายกลางซ้าย ครั้งนี้ได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 21.14 (ลดลงร้อยละ 0.04) คิดเป็นที่นั่งในสภา 41 ที่นั่ง (เพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง) ขณะที่อีกสองพรรคที่เหลือ ได้แก่ พรรค Neos และ พรรค Green ได้จำนวนผู้แทนในสภา 18 คน (เพิ่มขึ้น 3 คน) และ 16 คน (ลดลง 10 คน) ตามลำดับ รวมมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 183 คน
ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นสำนักงานฯ
แม้การตัดสินใจในครั้งนี้ของประธานาธิบดีจะเป็นทางเดียวที่เป็นไปได้สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลเนื่องจากผลการเลือกตั้งที่ออกมาในลักษณะนี้และจุดยืนอันเข้มแข็งของพรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึงพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่ง ที่จะไม่ยอมปรับเปลี่ยนจุดยืนของตนเอง แต่ก็สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่เห็นด้วยที่พรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่งไม่ได้เป็นแกนนำบริหารประเทศ มีความเคลื่อนไหวของการก่อการประท้วงในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน แต่เชื่อว่าจะเป็นเพียงการแสดงออกทางการเมืองและจะยุติได้โดยไม่ก่อความเสียหาย
ขณะที่ความคิดเห็นอีกด้านมองว่าไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดหลักการประชาธิปไตย เนื่องจากไม่มีพรรคการเมืองใดมีจำนวนผู้แทนเกินกึ่งหนึ่งของสภา ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมาจากพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ นอกจากนี้ ยังมองว่าเป็นความสำเร็จร่วมกันในการหยุดยั้งการขึ้นมามีอำนาจของพรรคการเมืองที่มีนโยบายขวาสุดโต่งเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป ทั้งนี้ คาดว่าแนวนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่จะไม่เปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลชุดก่อนมากนัก โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ น่าจะยังคงอยู่ภายใต้การบริการของพรรคการเมืองเดิม
Office of Commercial Affairs, Royal Thai Embassy (Thai Trade Center) - Vienna