thumbnail_Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Asset-17-puy272xw31bv1uczqilu44ukqk5cnnvv9xv892yatc.png

Mark of certification awarded by the Ministry of Commerce, the Royal Thai Government to guarantee the authentic Thaitaste of Thai food products.

thumbnail_Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

Asset-18-puy273vq9vd5dgbml10gomm1by0pvczlm2ipqcwwn4.png

A symbol of excellence and trusted quality that was established to add distinctive value.

thumbnail_output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

output-onlinepngtools-1-r3odpk4fii218lhpl7si9w7mbql8r8w9yjpapf3br4.png

Prime Minister’s Export Award is an honorable accolade to the country’s outstanding exporters

thumbnail_DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

DEMark_Logo-q50f7a54ehz9putglxjv2m2h3ryhtmiye4bdbeefr4.jpg

Thailand's most prestigious award given in recognition of outstanding Thai-design products.

medium_AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

small_AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

thumbnail_AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

AW-Banner-เตือนภัย-Scammer-final-01-1.jpg

medium_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

small_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

thumbnail_ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

ระวัง-scammer-1140x680-1.jpg

เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

ข่าวจากหนังสือพิมพ์ Business Daily และการเปิดเผยข้อมูลสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติเคนยา (KNBS)&nbsp;พบว่าการส่งออกจากเคนยาไปยัง&nbsp;UAE&nbsp;ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้น ถึง 118.8% จากมูลค่า 39.7 พันล้านชิลลิงเคนยา เป็น 86.9 พันล้านชิลลิงเคนยา และมีผลให้&nbsp;UAE ขึ้นมาเป็น ตลาดส่งออกอันดับ 2 ของเคนยา รองจากยูกันดาประเด็นสำคัญถึงการขยายตัวในการส่งออกนี้ มีหลายด้าน เช่นสินค้าสำคัญที่เคนยาส่งออกไป&nbsp;UAE มากขึ้น<ol><li>Jet Fuel (น้ำมันเครื่องบิน) – การส่งออกแบบ "re-export"&nbsp;คือ การนำเข้าน้ำมันมาจากที่อื่นแล้วขายต่อให้สายการบินใน&nbsp;UAE&nbsp;ที่มาน้ำมันในเคนยา</li><li>เนื้อแพะ – โดยเฉพาะเนื้อที่ฮาลาลและแปรรูป</li><li>ชา – โดยเฉพาะชาเฟอร์เมนต์สีดำที่ได้รับความนิยม</li><li>ผลไม้และผัก เช่น สับปะรด อะโวคาโด มะม่วง และดอกไม้การค้าและการลงทุนระหว่างเคนยากับ UAE ทำให้ทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์ข้อตกลงการค้า&nbsp;CEPA (Comprehensive Economic Partnership Agreement) ซึ่งมีลงนามในต้นปี&nbsp;2025 ซึ่งถือเป็นข้อตกลงทางการค้าฉบับเต็มฉบับแรกของ&nbsp;UAE&nbsp;กับประเทศในแอฟริกา ทำให้ได้ประโยชน์หลายด้าน เช่น ช่วยให้ลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายประเภท, เปิดตลาดบริการ เช่น โลจิสติกส์ ไอที เกษตร พลังงานสะอาด , เอื้อการลงทุนจาก&nbsp;UAE&nbsp;เข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานของเคนยา เช่น พอร์ต พลังงาน และดิจิทัลส่วนในด้านการลงทุน เคนยาหันไปพึ่งการลงทุนจาก UAE แทนจีนมากขึ้น ในโครงการขยายทางรถไฟ&nbsp;SGR (Standard Gauge Railway) โดย&nbsp;UAE&nbsp;สนใจลงทุนด้านต่างๆในเคนยาเพิ่มขึ้น เช่น พลังงานหมุนเวียน โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โครงการโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค เป็นต้น</li></ol>&nbsp;ความเห็นของ สคต.&nbsp;การที่เคนยากับ &nbsp;UAE มีข้อตกลงการค้า&nbsp;CEPA (Comprehensive Economic Partnership Agreement) ส่งผลให้การค้าระหว่างเคนยากับ&nbsp;UAE ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมีผลให้การขยายตัวในการส่งออกสินค้าของเคนยาไปตลาดตะวันออกกลางสามารถขยายเร็วขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นศักยภาพสินค้าบางรายการที่เคนยาได้รับการยอมรับมากขึ้นในตลาดดังกล่าว รวมถึงการที่&nbsp;UAE เองก็ต้องการจะเข้ามาทำการค้าและการลงทุนในเคนยาและแอฟริกามากขึ้น&nbsp;สำหรับประเทศไทยนั้น สคต.&nbsp; มองว่า ในระยะสั้น สินค้าไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ในการที่จะมีเคนยาเข้ามาเป็นคู่แข่ง อย่างไรก็ดี ในการที่เคนยามีการนำเข้าสินค้าจาก&nbsp;UAE มากขึ้น ก็สะท้อนว่า การนำเข้าสินค้าแบบรวมตู้หรือแบบไม่เต็มตู้ที่เคนยานำเข้าผ่าน UAE นั้น น่าจะทำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การเลือกนำเข้าสินค้าที่จะรวมถึงสินค้าไทยด้วยนั้น จะยิ่งมีการขยายตัวมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งแม้จะทำให้ไทยส่งสินค้าไป&nbsp;UAE เพิ่มขึ้นด้วยนั้น แต่หากมองอีกมุมก็จะเห็นได้ว่า การที่ผู้นำเข้ามีทางเลือกสินค้ามากขึ้น อาจส่งผลต่อการส่งออกโดยตรงจากไทยมาเคนยา ถูกทดแทนด้วยการนำเข้าผ่าน&nbsp;Trader หรือคนกลางมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรพิจารณาแนวทางการขยายธุรกิจที่จะใช้&nbsp;UAE เป็นศูนย์กระจายสินค้าไทยมาตลาดแอฟริกาและการเข้ามาลงทุนในแอฟริกาหรือเคนยาต่อไปในอนาคตทางใด้ก็ทางหนึ่งด้วย ชึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควรพิจารณาศึกษาข้อมูลและให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น เมื่อต้องการขยายตลาดมายังแอฟริกาเพราะจะมองว่าเรื่องนี้ ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้แล้วนั่นเอง&nbsp;ผู้ส่งออกหรือนักธูรกิจที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมด้านการค้าและการลงทุนต่าง ๆ เกี่ยวประเทศเคนยา และประเทศในแอฟริกาตะวันออก ท่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่&nbsp;E-mail:&nbsp;ของสำนักงานฯ ที่&nbsp;<a href="mailto:info@ocanairobi.co.ke">info@ocanairobi.co.ke</a>&nbsp;&nbsp;ที่มา :&nbsp;https://www.theeastafrican.co.ke/&nbsp;

เคนยา

แปล_วิเคราะห์_2025_ Aug_ข่าว2-1.pdf- UAE กลายเป็นตลาดส่งออกสินค้าของเคนยาที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2025.pdf

medium_UAE-Minister-of-Foreign-Trade-Thani-bin-Ahmed-Al-Zeyoudi-and-Kenyan-Cabinet-Secretary-for-Investments-Trade-and-Industry-Rebecca-Miano-agreed-the-deal-on-Thursday.jpeg

small_UAE-Minister-of-Foreign-Trade-Thani-bin-Ahmed-Al-Zeyoudi-and-Kenyan-Cabinet-Secretary-for-Investments-Trade-and-Industry-Rebecca-Miano-agreed-the-deal-on-Thursday.jpeg

thumbnail_UAE-Minister-of-Foreign-Trade-Thani-bin-Ahmed-Al-Zeyoudi-and-Kenyan-Cabinet-Secretary-for-Investments-Trade-and-Industry-Rebecca-Miano-agreed-the-deal-on-Thursday.jpeg

UAE-Minister-of-Foreign-Trade-Thani-bin-Ahmed-Al-Zeyoudi-and-Kenyan-Cabinet-Secretary-for-Investments-Trade-and-Industry-Rebecca-Miano-agreed-the-deal-on-Thursday.jpeg

สคต. ณ กรุงไนโรบี (เคนยา)

UAE กลายเป็นตลาดส่งออกสินค้าของเคนยาที่เติบโตเร็วที่สุดในปี 2025

แทนซาเนีย

แปล_วิเคราะห์_2025_ Aug_ข่าว1.pdf-แทนซาเนียประกาศห้ามนักธุรกิจต่างชาติเปิดกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง 15 ประเภท.pdf

small_hq720.jpg

thumbnail_hq720.jpg

hq720.jpg

แทนซาเนียประกาศห้ามนักธุรกิจต่างชาติเปิดกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง 15 ประเภท

เวียดนาม

News 18 - 22 August - Rice exporters to Philippines-Edit.pdf

small_442693_rice.jpg

thumbnail_442693_rice.jpg

442693_rice.jpg

สคต. ณ นครโฮจิมินห์ (เวียดนาม)

เวียดนามเผชิญแรงกดดัน หลังฟิลิปปินส์ระงับนำเข้าข้าวชั่วคราว

News 18 - 22 August - Vietnam green solutions for e-commerce-Edit.pdf

small_441876_thuong-mai-dien-tu.jpg

thumbnail_441876_thuong-mai-dien-tu.jpg

441876_thuong-mai-dien-tu.jpg

เวียดนามเดินหน้ายกระดับอีคอมเมิร์ซสู่มาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

อิสราเอล

medium_Trump.JPG

small_Trump.JPG

thumbnail_Trump.JPG

Trump.JPG

สคต. ณ กรุงเทลอาวีฟ (อิสราเอล)

ภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อคู่ค้าสหรัฐฯรวมทั้งอิสราเอล

Vingroup ประกาศสร้างท่าเรือและศูนย์โลจิสติกส์มูลค่ากว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ นครไฮฟองบริษัท&nbsp;Vingroup หนึ่งในกลุ่มธุรกิจเอกชนรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ประกาศแผนการลงทุนสร้าง ท่าเรือและ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ศูนย์โลจิสติกส์แบบครบวงจร&nbsp;นาม โด เซิน&nbsp;(Nam Do Son) มูลค่ากว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ นครไฮฟอง &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;(Hai Phong) ข้อมูลดังกล่าวได้ถูกระบุไว้ในมติของคณะกรรมการบริษัท&nbsp;Vingroup ซึ่งเพิ่งได้รับการอนุมัติ โดยกลุ่มบริษัท&nbsp;Vingroup จะลงทุนโครงการบนพื้นที่&nbsp;4,400 เฮกตาร์ (27,500 ไร่) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจชายฝั่งทางตอนใต้ของนครไฮฟอง โดยอยู่ที่ตำบลเกี๊ยนไห่&nbsp;(Kien Hai) และ ตำบล นาม โด เซิน (Nam Do Son) ท่าเรือและศูนย์โลจิสติกส์นาม โด เซิน (Nam Do Son) มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า&nbsp;373,840 พันล้านด่ง หรือประมาณ 14,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยโครงการดังกล่าวได้รับสมาธิฐานระยะเวลาดำเนินการ 70 ปี&nbsp;โครงการดังกล่าวของ&nbsp;Vingroup จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะแรก (ปี 2569-2573) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 29,100 พันล้านด่ง ระยะที่สอง (ปี 2574-2578) ใช้ทุน 206,272 พันล้านด่ง และระยะสุดท้าย (ปี 2579-2583) คาดว่าใช้เงินลงทุน 138,461 พันล้านด่ง โดย&nbsp;Vingroup จะร่วมลงทุนคิดเป็นร้อยละ 15 ของมูลค่ารวมของโครงการ ส่วนที่เหลือจะมาจากแหล่งเงินทุนที่ระดมเพิ่มเติมสำหรับใน นครไฮฟอง&nbsp;Vingroup และบริษัทในเครือได้ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ โดยในด้านการผลิต Vingroup ได้ก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์&nbsp;VinFast ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวม 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบนเกาะคั๊ตไห่ (Cat Hai) ณ นครไฮฟองVinhomes กำลังดำเนินการโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งที่ 4 ณ แขวงเยืองกิง&nbsp;(Duong Kinh) นครไฮฟอง ซึ่งมีขนาดประมาณ 240 เฮกตาร์ (1,500 ไร่) โดยก่อนหน้านี้ ได้ดำเนินโครงการต่างๆ เช่น&nbsp;Royal Island (พื้นที่กว่า 870 เฮกตาร์ (5,437 ไร่)) Imperia (มากกว่า 78 เฮกตาร์ (487.5 ไร่)) และ&nbsp;Mariana (เกือบ 50 เฮกตาร์ (312.5 ไร่))&nbsp;นอกจากนี้ ในด้านอสังหาริมทรัพย์ Vingroup ยังมีแผนจะเริ่มก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม 2 แห่งในเขตเศรษฐกิจชายฝั่งทางตอนใต้ของนครไฮฟอง ตั้งแต่ต้นปี 2569 ได้แก่ โครงการตันนจ่าว&nbsp;(Tan Trao) และหงูฟุ๊ก (Ngu Phuc) ระยะที่ 1 นอกจากนี้&nbsp;Vingroup ยังมีแผนลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ณ นครไฮฟอง อีกด้วยนครไฮฟอง กำลังกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมชั้นนำของภาคเหนือของเวียดนาม หลังจากควบรวมกับจังหวัดหายเซือง (Hai Duong) นครไฮฟองใหม่มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินงานอยู่มากกว่า 15 แห่ง ปัจจุบัน นครไฮฟอง ยังเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือและทั่วประเทศ ปริมาณสินค้าที่ผ่านท่าเรือไฮฟองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 12–15 ต่อปี โดยในปี 2567 ปริมาณสินค้าผ่านท่าเรือถึง 190 ล้านตัน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 212 ล้านตันในปี 2568 สำหรับเขตเศรษฐกิจชายฝั่งทางตอนใต้ นครไฮฟอง &nbsp; &nbsp; &nbsp;ตามแผนที่จัดทำเมื่อปี 2567 โครงการมีขนาดประมาณ 20,000 เฮกตาร์ (125,000 ไร่) และต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 400,000–600,000 ล้านด่ง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พื้นที่อุตสาหกรรมที่มีเงินทุนจากต่างชาติได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจของไฮฟอง อย่างไรก็ตาม เขตเศรษฐกิจดิงห์หวู&nbsp;(Dinh Vu) – คั๊ตไห่&nbsp;(Cat Hai) (ก่อตั้งในปี 2551) ได้พัฒนาไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ทำให้มีข้อจำกัดในด้านที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติม(จาก&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://vneconomy.vn/">https://vneconomy.vn/</a>)ข้อคิดเห็น สคตนครไฮฟองถือเป็นเมืองท่าสำคัญของเวียดนามมาอย่างยาวนาน ด้วยทำเลที่ตั้งติดทะเลจีนใต้ และอยู่ใกล้กับ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;กรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศ ส่งผลให้ไฮฟองมีบทบาทสำคัญในการขนส่งสินค้าและการพัฒนาอุตสาหกรรม &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การที่&nbsp;Vingroup ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทเอกชนรายใหญ่ของเวียดนาม เตรียมลงทุนสร้างท่าเรือและศูนย์โลจิสติกส์แบบครบวงจร จะยิ่งส่งเสริมศักยภาพของนครไฮฟองให้กลายเป็น “ประตูเศรษฐกิจ” ทางทะเลของประเทศมากขึ้นโครงการสร้างท่าเรือศูนย์โลจิสติกส์ ณ นครไฮฟอง (Hai Phong) ดังกล่าวจะช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; โลจิสติกส์ของเวียดนามให้มีความทันสมัย รองรับปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น และดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก การมีศูนย์&nbsp; &nbsp;โลจิสติกส์ขนาดใหญ่จะช่วยลดต้นทุนด้านเวลาและค่าขนส่งสำหรับธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการนำเข้า-ส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และยานยนต์ นับเป็นอีกก้าวสำคัญในพัฒนาการของอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเลของเวียดนาม คาดว่า การเปิดตัวท่าเรืออัจฉริยะ HHIT ในไฮฟองเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางทะเลของเวียดนาม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต &nbsp; &nbsp; ไฮฟองจะกลายเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญในการค้าชายแดนและโลจิสติกส์ในภูมิภาค CLMV (กัมพูชา-ลาว-เมียนมา-เวียดนาม) ผู้ประกอบการไทยจะมีโอกาสมากขึ้นในการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าการลงทุนในคลังสินค้า การขนส่งข้ามแดน และแม้แต่การร่วมทุนกับพันธมิตรเวียดนาม โดยเฉพาะบริษัทที่มีแผนขยายธุรกิจสู่จีนตอนใต้ อีกทั้ง การมีท่าเรือขนาดใหญ่ จะเปิดทางให้ไทยสามารถใช้นครไฮฟองเป็นจุดพักสินค้าเพื่อกระจายต่อไปยังประเทศอื่นในเอเชียได้อย่างสะดวกมากขึ้น จึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่ผู้ประกอบการไทยควรจับตาอย่างใกล้ชิด และเตรียมปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับภูมิทัศน์เศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาค

Vingroup จะสร้างท่าเรือศูนย์โลจิสติกส์มูลค่ากว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในจังหวัดไฮฟอง (Hai Phong).pdf

medium_i1-kinhdoanh.vnecdn.net-2025-08-04-_57083f5c2d334468a9c04a64a73766-3260-3195-1754278939.jpg

small_i1-kinhdoanh.vnecdn.net-2025-08-04-_57083f5c2d334468a9c04a64a73766-3260-3195-1754278939.jpg

thumbnail_i1-kinhdoanh.vnecdn.net-2025-08-04-_57083f5c2d334468a9c04a64a73766-3260-3195-1754278939.jpg

i1-kinhdoanh.vnecdn.net-2025-08-04-_57083f5c2d334468a9c04a64a73766-3260-3195-1754278939.jpg

สคต. ณ กรุงฮานอย (เวียดนาม)

Vingroup ประกาศสร้างท่าเรือและศูนย์โลจิสติกส์มูลค่ากว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ นครไฮฟอง 

เวียดนามนำเข้าสินค้าปศุสัตว์มากกว่า 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯจากรายงานฉบับใหม่ที่เผยแพร่โดยกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม เวียดนามนำเข้าสินค้าปศุสัตว์มากกว่า 2,600&nbsp;ล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ในช่วง&nbsp;7&nbsp;เดือนแรกของ ปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23&nbsp;เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี&nbsp;2567 โดยเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์พลอยได้จากเนื้อสัตว์มีมูลค่ากว่า 1,000&nbsp;ล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;คิดเป็น ร้อยละ&nbsp;38.5&nbsp;ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด ขณะที่นมและผลิตภัณฑ์จากนมมีมูลค่ากว่า 860&nbsp;ล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;คิดเป็นร้อยละ 33.1&nbsp;การนำเข้าเนื้อสัตว์ที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจากความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาวัตถุดิบภายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ราคาเนื้อสัตว์ในประเทศสูงขึ้นตาม และทำให้ผลิตภัณฑ์ในประเทศแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้ยาก โดยเนื้อสัตว์แช่แข็งนำเข้าบางประเภทจากประเทศในทวีปยุโรป บราซิล แคนาดา และออสเตรเลีย ที่มีราคาขายต่ำกว่าราคาในประเทศถึงร้อยละ&nbsp;40–60 ความแตกต่างของราคาที่สูงนี้มีส่วนทำให้การบริโภคเนื้อนำเข้าเพิ่มมากขึ้น และก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ในประเทศจากข้อมูลจากสมาคมปศุสัตว์ภาคตะวันออกเฉียงใต้ (Southeastern Livestock Association) ต้นทุนการผลิตภายในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าและมีลักษณะการผลิตขนาดเล็ก ในขณะเดียวกัน ตลาดภายในประเทศเปิดเสรีมากขึ้น ทำให้สินค้าจากต่างประเทศสามารถเข้าถึงผู้บริโภคชาวเวียดนามได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในประเทศจำเป็นต้องปรับตัว โดยการ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พัฒนากระบวนการผลิต และ สร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อการแข่งขันที่มากขึ้น&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นย้ำว่า เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมอย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพของเนื้อสัตว์นำเข้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความเสี่ยงจาก โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ซึ่งอาจทำให้เนื้อสัตว์ที่ไม่มีคุณภาพเล็ดลอดเข้าสู่ตลาดภายในประเทศได้(จาก&nbsp;https://vietnamnews.vn/)ข้อคิดเห็น สคตมูลค่าสินค้าปศุสัตว์ส่งออกจากต่างประเทศมายังเวียดนามเพิ่มขึ้นในช่วง 7&nbsp;เดือนแรกของปี&nbsp;2568&nbsp;ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยและผู้ประกอบการปศุสัตว์ภายในประเทศที่ขาดเทคโนโลยีต้องเผชิญกับการแข่งขันมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ในประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนอาหารสัตว์และต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลือง&nbsp;จากข้อมูลสถิติของกรมศุลกากรเวียดนาม มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์จากประเทศไทยไปยังเวียดนาม ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม ในช่วง&nbsp;7&nbsp;เดือนแรกของปี 2568&nbsp;อยู่ที่ 40.3&nbsp;ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.13&nbsp;เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นร้อยละ 4.6&nbsp;ของมูลค่านมและผลิตภัณฑ์จากนมนำเข้าทั้งหมดของเวียดนาม และจากทิศทางดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการบริโภคกลุ่มสินค้าปศุสัตว์นำเข้ามากขึ้นของชาวเวียดนาม จึงอาจเป็นโอกาสที่สินค้านมและผลิตภัณฑ์จากนมส่งออกไทยสามารถเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดเวียดนามได้อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคภายในประเทศ และเป็นโอกาสในการขยายส่วนแบ่งตลาดให้กับบริษัทผู้นำเข้าและผู้ส่งออกสินค้าปศุสัตว์จากต่างประเทศ รวมถึงผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในอนาคต

เวียดนามนำเข้าสินค้าปศุสัตว์มากกว่า 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ.pdf

small_ดกเกฟเ.jpg

thumbnail_ดกเกฟเ.jpg

ดกเกฟเ.jpg

เวียดนามนำเข้าสินค้าปศุสัตว์มากกว่า 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

เวียดนามมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในการประชุมครั้งที่ 19 ของคณะกรรมการชี้นำแห่งชาติสำหรับโครงการคมนาคมขนส่งที่มีความสำคัญ (State Steering Committee for National Key Transport Projects) เมื่อวันที่&nbsp;31&nbsp;กรกฎาคม&nbsp;2568&nbsp;นายกรัฐมนตรี&nbsp;Phạm Minh Chính&nbsp;ได้สั่งการให้กระทรวง หน่วยงาน และท้องถิ่นต่างๆ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายการสร้างทางด่วน โดยเฉพาะเส้นทางสำคัญ เช่น ถนนวงแหวนที่ 3 รอบนครโฮจิมินห์ ทางด่วน&nbsp;Bien Hoa – Vung Tau ทางด่วน Tuyen Quang – Ha Giang และถนนเลียบชายฝั่ง ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งที่&nbsp;13 โดยมุ่งหวังที่จะสามารถรายงานผลสำเร็จเด่นชัดในที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14 ในเดือน มกราคม 2569“หากความคืบหน้าในการดำเนินการก่อสร้างไปได้อย่างต่อเนื่อง เราจะไม่เพียงแต่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดในการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่&nbsp;13 เท่านั้น แต่ยังอาจทำได้เกินกว่าที่ตั้งไว้ โดยการก่อสร้างทางด่วนให้ได้&nbsp;3,000&nbsp;กิโลเมตร และถนนเลียบชายฝั่งอีก&nbsp;1,000 กิโลเมตรจะถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับการประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ 14” นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำนายกรัฐมนตรีเน้นว่า ตามแผนที่วางไว้ ภายในวันที่&nbsp;19&nbsp;สิงหาคม 2568 เวียดนามจะสร้างทางด่วนแล้วเสร็จ&nbsp;2,476 กิโลเมตร และถนนเลียบชายฝั่ง&nbsp;1,397 กิโลเมตร ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดใช้งานทางด่วนอย่างรวดเร็ว นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งรัดงานด้านการเวนคืนที่ดิน การก่อสร้างจุดพักรถ ระบบตรวจสอบการจราจร ระบบเก็บค่าผ่านทาง และการควบคุมน้ำหนักรถ พร้อมทั้งต้องรักษามาตรฐานคุณภาพในระดับสูงสุดสำหรับโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติ Long Thanh ที่จังหวัด&nbsp;Dong Nai นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทบทวนความคืบหน้าของงานก่อสร้างทั้งหมดอย่างละเอียด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการระดมกำลังคนและเครื่องจักรเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่างานจะแล้วเสร็จตามกำหนด และเริ่มรับเที่ยวบินแรกได้ภายในสิ้นปี&nbsp;2568นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมกระทรวง หน่วยงาน และท้องถิ่นต่างๆ สำหรับความพยายามในการแก้ไขอุปสรรคและเร่งรัดการดำเนินการของแต่ละโครงการ แต่อย่างไรก็ตาม ท่านเน้นย้ำว่างานที่เหลือยังมีจำนวนมาก ขณะที่เวลาเหลือไม่มาก &nbsp; &nbsp;จึงสั่งการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการด้วยความรับผิดชอบ ความรักชาติ และความทุ่มเทเพื่อประชาชน นายกรัฐมนตรียังย้ำว่า การเร่งรัดความคืบหน้าต้องควบคู่กับการรับประกันคุณภาพ ความปลอดภัย การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการวางผังพื้นที่โดยรอบโครงการอย่างเหมาะสม พร้อมเน้นว่าการตรวจสอบ กำกับดูแล และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส &nbsp; &nbsp; &nbsp;เป็นปัจจัยสำคัญในการป้องกันการทุจริตและการสิ้นเปลืองงบประมาณนอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างทางด่วนกับศูนย์เศรษฐกิจหลัก ท่าเรือ สถานีรถไฟ และท่าอากาศยาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการและการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพในระดับประเทศ(จาก&nbsp;https://vietnamplus.vn/)ข้อคิดเห็น สคตจากข้อมูลของ&nbsp;Pacific Capital&nbsp;ทางด่วนสาย&nbsp;Bien Hoa – Vung Tau&nbsp;จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางจาก&nbsp; &nbsp;&nbsp;นครโฮจิมินห์ไปยังจังหวัด&nbsp;Ba Ria – Vung Tau&nbsp;จาก&nbsp;150&nbsp;นาที เหลือเพียง&nbsp;70&nbsp;นาที ซึ่งจะเปิดโอกาสในการแข่งขันให้กับท่าเรือ&nbsp;Cai Mep – Thi Vai&nbsp;และท่าอากาศยานนานาชาติ Long Thanh&nbsp;ที่จังหวัด&nbsp;Dong Naiจากรายงานของนิตยสาร&nbsp;The Saigon Times&nbsp;และหนังสือพิมพ์&nbsp;Tien Phong&nbsp;หลังจากการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติ&nbsp;Long Thanh เสร็จสิ้น สนามบินแห่งนี้จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็น ร้อยละ&nbsp;3–5&nbsp;ของ&nbsp;GDP&nbsp;ของเวียดนาม โดยมีการออกแบบให้รองรับผู้โดยสาร 25&nbsp;ล้านคนต่อปี และสินค้า&nbsp;1.2&nbsp;ล้านตันต่อปีภายในกลางปี 2569&nbsp;และมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 100&nbsp;ล้านผู้โดยสารต่อปี และ&nbsp;5 ล้านตันสินค้าต่อปี ตั้งแต่&nbsp;2573&nbsp;เป็นต้นไปในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูงสายเหนือ–ใต้ (North–South High-Speed Rail)&nbsp;ที่มีความยาว 1,541&nbsp;กิโลเมตร เชื่อมต่อจากจังหวัด Lang Sơn&nbsp;ถึงจังหวัด&nbsp;Ca Mau&nbsp;ผ่าน 32&nbsp;จังหวัด ซึ่งครอบคลุม ประชากรร้อยละ&nbsp;62&nbsp;และ GDP&nbsp;ของประเทศร้อยละ 65.7&nbsp;รวมถึงเชื่อมโยงกับท่าเรือร้อยละ 74&nbsp;และ เขตเศรษฐกิจสำคัญร้อยละ 75&nbsp;ของประเทศ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยให้&nbsp;GDP&nbsp;ของเวียดนามเติบโต เพิ่มขึ้นได้ร้อยละ&nbsp;0.97ดังนั้น การที่รัฐบาลเวียดนามเร่งผลักดันการก่อสร้างระบบทางด่วน ระบบถนนเลียบชายฝั่ง และท่าอากาศยานนานาชาติ&nbsp;Long Thanh รวมถึงการเชื่อมโยงกับระบบรถไฟและท่าเรือ จะช่วยให้ระบบคมนาคมขนส่งของเวียดนามกลายเป็นโครงข่ายแบบครบวงจร ส่งผลให้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติม และขยายมูลค่าและโอกาสทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

เวียดนามมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง.pdf

small_thu-tuong2-310725.jpg

thumbnail_thu-tuong2-310725.jpg

thu-tuong2-310725.jpg

เวียดนามมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง

อุตสาหกรรมไม้เวียดนามเผชิญกับการขาดแคลนวัตถุดิบไม้<figure class="image image_resized" style="width:22.31%;"><img src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/image_78f5e85d14.png" uploadprocessed="true" alt="image.png" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_image_78f5e85d14.png 230w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_image_78f5e85d14.png 500w" sizes="100vw" width="500"></figure>จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนาม (Ministry of Agriculture and Enviroment: MAE) มูลค่าไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ส่งออกจากเวียดนามไปประเทศต่างๆ ในช่วง&nbsp;7&nbsp;เดือนแรกของปี&nbsp;2568 อยู่ที่&nbsp;9,670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ&nbsp;8.3&nbsp;เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี&nbsp;2567 โดยตลาดสหรัฐฯมีสัดส่วนถึงร้อยละ 55.9&nbsp;ของมูลค่าการส่งออกไม้ทั้งหมด ในขณะที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าในอัตราภาษีร้อยละ 20&nbsp;ซึ่งเป็นความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ประกอบการส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ของเวียดนามแม้ว่าผู้ประกอบการยังคงมุ่งมั่นในการแสวงหาและขยายตลาดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีฐานลูกค้าที่หลากหลายและหลีกเลี่ยงการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป นาย&nbsp;Ngo Sy Hoai&nbsp;รองประธานและเลขาธิการสมาคมไม้และผลิตภัณฑ์ป่าไม้เวียดนาม (VIFOREST) ระบุว่า ผู้ส่งออกไม้เวียดนามไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเผชิญกับผลกระทบจากการแข่งขันและกำแพงภาษีในห่วงโซ่การค้าโลกโดยตรง ผู้ส่งออกจำเป็นต้องปรับปรุงเทคโนโลยีให้ทันสมัย และปรับโครงสร้างกำลังการผลิตให้ดีขึ้น แทนที่จะรอเพียงคำสั่งซื้ออย่างเดียว เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตในอุตสาหกรรมการผลิตไม้ของเวียดนามยังคงต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ดังนั้น ความสามารถในการพึ่งพาวัตถุดิบภายในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดการเติบโตของอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ของเวียดนาม ในฐานะที่เป็นแหล่งวัตถุดิบอย่างยั่งยืนอย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน อุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ของเวียดนามยังคงพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นหลัก จากข้อมูลสถิติของกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อมเวียดนาม ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ส่งออกจากประเทศต่างๆ มายังเวียดนามในช่วง&nbsp;7&nbsp;เดือนแรกของปี&nbsp;2568 มีมูลค่าสูงถึง 1,990 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ&nbsp;27.7&nbsp;เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี&nbsp;2567 และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกที่ 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp;ในปี&nbsp;2568 ผู้ประกอบการจะมีความต้องการใช้วัตถุดิบมากขึ้น ในขณะที่แหล่งวัตถุดิบในประเทศมีการขาดแคลนมากยิ่งขึ้นรัฐบาลเวียดนามได้สั่งห้ามการตัดไม้จากป่าธรรมชาติตั้งแต่ปี&nbsp;2557 และแม้จะได้เปลี่ยนไปพัฒนาป่าปลูกทดแทนอย่างยั่งยืนแทนแต่ปริมาณไม้ที่เก็บเกี่ยวได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการในการแปรรูปเพื่อการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ เนื่องจากพื้นที่ป่าปลูกส่วนใหญ่ยังคงใช้เพื่อการผลิตไม้สับ&nbsp;(Wood&nbsp;Chips) ในขณะที่การผลิตเฟอร์นิเจอร์ต้องใช้ไม้ที่มีขนาดใหญ่และลำต้นตรงดังนั้น รัฐบาลเวียดนามจึงได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาและขยายพื้นที่ปลูกไม้ขนาดใหญ่ที่มีรหัสพื้นที่ปลูกและได้รับการรับรองโดยสภาการรับรองการจัดการป่าไม้ (Forest Stewardship Council:&nbsp;FSC) ในช่วงปี&nbsp;2567–2573 โดยมีเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ขนาดใหญ่ให้ถึง&nbsp;1&nbsp;ล้านเฮกตาร์ หรือเท่ากับ 6.25 ล้านไร่&nbsp;ภายในปี&nbsp;2573 เพื่อรองรับความต้องการใช้วัตถุดิบและสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การขยายพื้นที่ป่าไม้ขนาดใหญ่ยังคงเผชิญกับอุปสรรคหลายประการ เช่น ข้อจำกัดด้านที่ดิน เงินลงทุนสูง และระยะเวลาปลูกที่ยาวนาน ผู้เชี่ยวชาญจึงเสนอว่า รัฐบาลควรเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ปลูกป่า มิฉะนั้น การส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ของเวียดนามอาจชะลอตัว เนื่องจากไม่สามารถตอบสนองมาตรฐานทั้งในประเทศและระดับสากลได้&nbsp;(จาก&nbsp;https://vneconomy.vn/)ข้อคิดเห็น สคตจากข้อมูลของวารสารเกษตรและสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ของเวียดนามมีความต้องการใช้วัตถุดิบไม้ประมาณ 40 – 45&nbsp;ล้านลูกบาศก์เมตรในช่วงปี 2566 – 2567&nbsp;โดยไม้ปลูกในประเทศมีปริมาณประมาณ 22&nbsp;ล้านลูกบาศก์เมตร ไม้นำเข้าอยู่ที่&nbsp;8 ล้านลูกบาศก์เมตร และส่วนที่เหลือเป็นไม้ประเภทอื่นๆ&nbsp;ความต้องการใช้ไม้ภายในประเทศของภาคป่าไม้เวียดนามในปี&nbsp;2568&nbsp;เพิ่มขึ้นเป็น&nbsp;35&nbsp;ล้านลูกบาศก์เมตร แม้ว่าปริมาณไม้ที่หาได้ในประเทศในช่วง 7&nbsp;เดือนแรกของปี&nbsp;2568&nbsp;มี&nbsp;13.2&nbsp;ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ&nbsp;7.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่คิดเป็นเพียงร้อยละ&nbsp;37.7 ของความต้องการใช้ไม้ตลอดทั้งปีโครงการปลูกป่าไม้ขนาดใหญ่ในเวียดนามจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 10&nbsp;ปีขึ้นไป ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว อุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ของเวียดนามยังคงมีความต้องการใช้วัตถุดิบไม้นำเข้า ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้กับการขยายส่วนแบ่งตลาดของทั้งผู้ประกอบการการค้าไม้ภายในประเทศ และบริษัทผู้ส่งออกไม้จากประเทศต่างๆ ในระยะยาว

อุตสาหกรรมไม้เวียดนามเผชิญกับการขาดแคลนวัตถุดิบไม้ TH-V1.pdf

small_ดเหีเพเยกรเ.jpg

thumbnail_ดเหีเพเยกรเ.jpg

ดเหีเพเยกรเ.jpg

อุตสาหกรรมไม้เวียดนามเผชิญกับการขาดแคลนวัตถุดิบไม้

กระทรวงฯ เตรียมออกมาตรฐานการนำเข้านมผงที่เข้มงวด.pdf

small_443575_d15cfa50a39316cd4f82-1133.jpg

thumbnail_443575_d15cfa50a39316cd4f82-1133.jpg

443575_d15cfa50a39316cd4f82-1133.jpg

กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเตรียมออกมาตรฐานการนำเข้านมผงที่เข้มงวด

เวียดนามและออสเตรเลียเร่งความร่วมมือด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อม.pdf

small_dai-bieu-du-hn.jpg

thumbnail_dai-bieu-du-hn.jpg

dai-bieu-du-hn.jpg

เวียดนามและออสเตรเลียเร่งความร่วมมือด้านการเกษตรและสิ่งแวดล้อม

จีน

small_w700d1q75cms.jpg

thumbnail_w700d1q75cms.jpg

w700d1q75cms.jpg

สคต. ณ เมืองชิงต่าว (จีน)

สังเกตการณ์เศรษฐกิจ 9 เมืองใหญ่ในจีนช่วงครึ่งแรกของปี 2568

กัมพูชาได้รับการจัดอันดับเป็น อันดับ&nbsp;1 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ อันดับ&nbsp;9 ของโลก ใน ดัชนี&nbsp;Greenfield FDI Performance Index ปี&nbsp;2568ดัชนีดังกล่าวจัดทำโดย fDI Intelligence ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะทางของ&nbsp;Financial Times เพื่อติดตามและจัดอันดับประเทศต่าง ๆ ตามศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นที่ Greenfield FDI หรือการลงทุนใหม่ในสินทรัพย์ถาวรและโครงสร้างพื้นฐานในปี&nbsp;2567 กัมพูชามี โครงการ&nbsp;FDI ขาเข้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ครอบคลุมหลากหลายสาขา ทั้งภาคธุรกิจบริการ การขนส่ง สินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ และสิ่งทอ&nbsp;จีนยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของกัมพูชา ทั้งในด้าน&nbsp;FDI และการค้าสินค้า โดยในช่วงก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จีนได้เพิ่มการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มองว่ากัมพูชาเป็น ประตูทางอ้อมสู่ตลาดสหรัฐฯ&nbsp;ในปี&nbsp;2567 จีนมีสัดส่วนการลงทุนคิดเป็นกว่า หนึ่งในสามของโครงการ&nbsp;FDI ทั้งหมดในกัมพูชา ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการผลิต เช่น บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าของจีน BYD ได้ประกาศแผนสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ ห่างจากกรุงพนมเปญราว&nbsp;215 กิโลเมตร เมื่อเดือนกรกฎาคม&nbsp;2567ด้าน นาย Penn Sovicheat รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ข้อตกลง&nbsp;RCEP รวมถึงความตกลงการค้าเสรีทวิภาคีกับจีน เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถือเป็น ปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูด&nbsp;FDI เข้าสู่กัมพูชาข้อมูลที่น่าสนใจ1. กัมพูชาพึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ซึ่งจ้างงานโดยตรงประมาณ&nbsp;925,000 คน โดย&nbsp;75.5% เป็นผู้หญิง อ้างอิงจากสมาคมเสื้อผ้า รองเท้า และสินค้าเดินทาง (Textile, Apparel, Footwear &amp; Travel Goods Association in Cambodia :TAFTAC)2. ข้อมูลของสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (Council for the Development of&nbsp;Cambodia :&nbsp;CDC) ระบุว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 กัมพูชาดึงดูดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรได้ประมาณ&nbsp;5.8 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น&nbsp;77% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอนุมัติโครงการลงทุนจำนวน&nbsp;373 โครงการ เพิ่มขึ้น&nbsp;96% จาก&nbsp;190 โครงการในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สร้างงานประมาณ&nbsp;255,000 ตำแหน่ง3. โครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการอนุมัติจาก&nbsp;CDC อาทิ โรงงานประกอบรถยนต์ โรงงานผลิตยางรถยนต์ โรงงานประกอบรถสามล้อไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงงานผลิตแผงโซลาร์เซลล์ สถานีพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงงานแปรรูปโลหะและอะลูมิเนียม และท่าเรือ&nbsp;ความเห็นของสำนักงานฯ&nbsp;ความร่วมมือด้าน Supply Chain ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยแม้ขณะนี้ไทยและกัมพูชายังมีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างกัน แต่กัมพูชายังแข็งแกร่งในเรื่องของอุตสาหกรรมสิ่งทอด้วยแรงงานที่มีอัตราค่าจ้างที่ต่ำและยังมีแรงงานอยู่จำนวนมากหลังจากที่เดินทางกลับมาจากไทย ดังนั้น จึงยังถือกัมพูชายังเป็นหนึ่งในฐานการผลิตของอุตสาหกรรมนี้ในภูมิภาค ซึ่งไทยยังสามารถเข้ามาหาลู่ทางการลงทุนในการสร้าง&nbsp;Supply Chain ระหว่างไทยและกัมพูชาได้ โดยสหรัฐฯ ยังเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมสิ่งทอของกัมพูชา___________________________________________________________________________ที่มา&nbsp;Khmer Times&nbsp;21 สิงหาคม 2568

กัมพูชา

08-22-25 กัมพูชาคว้าอันดับ 1 เอเชียแปซิฟิก ในดัชนี Greenfield FDI Performance Index.pdf

small_กัมพูชาคว้าอันดับ 1 เอเชียแปซิฟิก ในดัชนี Greenfield FDI Performance Index.png

thumbnail_กัมพูชาคว้าอันดับ 1 เอเชียแปซิฟิก ในดัชนี Greenfield FDI Performance Index.png

กัมพูชาคว้าอันดับ 1 เอเชียแปซิฟิก ในดัชนี Greenfield FDI Performance Index.png

สคต. ณ กรุงพนมเปญ (กัมพูชา)

“กัมพูชาคว้าอันดับ 1 เอเชียแปซิฟิก ในดัชนี Greenfield FDI Performance Index” 

medium_f1522d2c4be141e464663f8a5452dc28.png

small_f1522d2c4be141e464663f8a5452dc28.png

thumbnail_f1522d2c4be141e464663f8a5452dc28.png

f1522d2c4be141e464663f8a5452dc28.png

สคต. ณ เมืองหนานหนิง (จีน)

กว่างซีโอกาสของผลไม้อาเซียนเข้าสู่ตลาดจีน

VIETNAM TRADE AND INVESTMENT STATISTICS (6.25).pdf

small_Đầu tư.jpg

thumbnail_Đầu tư.jpg

Đầu tư.jpg

รายงานสถานการณ์การค้าการลงทุนของเวียดนามในเดือนมิถุนายน 2568

กัมพูชาและเวียดนามเห็นพ้องที่จะยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้แนวคิดการสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายการค้ารวมมูลค่า&nbsp;20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฟาม มินห์ จินห์ ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต สนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทเวียดนามในกัมพูชาอย่างมั่นคง พร้อมทั้งส่งเสริมการลงทุน เพื่อผลักดันให้การค้าระหว่างสองประเทศบรรลุเป้าหมาย&nbsp;20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเร็วคำร้องขอดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ จินห์ และนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ตามรายงานของสำนักข่าวเวียดนาม (VNA)ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเดินหน้าปรับปรุงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยยึดหลัก การสร้างผลประโยชน์ร่วม การแบ่งปันความเสี่ยง และการเร่งบรรลุเป้าหมายการค้าทวิภาคี มูลค่า&nbsp;20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงระดับท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจบริเวณด่านชายแดน อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน รวมถึงการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาที่คงค้างเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนและการติดตั้งหลักเขตแดนนายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ จินห์ ยังกล่าวชื่นชมว่า ตลอดระยะเวลา&nbsp;2 ปีที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล กัมพูชาได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จนทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนกัมพูชา ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ จินห์ ยังได้ขอให้รัฐบาลกัมพูชายังคงให้ความสำคัญและอำนวยความสะดวกด้านการแปลงสัญชาติแก่ชาวเวียดนามที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ตลอดจนสนับสนุนให้ชาวเวียดนามสามารถตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคง ใช้ชีวิตอย่างกลมกลืน และมีส่วนร่วมเชิงบวกต่อสังคมกัมพูชา รวมถึงเอื้อให้บริษัทเวียดนามดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและขยายการลงทุนในกัมพูชาได้ต่อไปความเห็นของสำนักงานฯ&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;1)&nbsp;ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกัมพูชาและเวียดนามมีพัฒนาการก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปี&nbsp;2568 ที่ผ่านมาเวียดนามเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ติดอันดับ&nbsp;5 ของกัมพูชา และเป็นประเทศอาเซียนที่ลงทุนมากที่สุดรองจากมาเลเซีย ในกัมพูชา&nbsp;2)&nbsp;ข้อมูลจาก&nbsp;GDCE ระบุว่า&nbsp;7 เดือนแรกของปี&nbsp;2568 มูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ 4.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น&nbsp;7.5% โดยกัมพูชาส่งออก&nbsp;2.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า&nbsp;2.51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดดุล&nbsp;84.48 ล้านดอลลาร์ สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยางพารา และข้าว ส่วนสินค้านำเข้าหลักจากเวียดนาม ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค เหล็ก และเครื่องจักร&nbsp;___________________________________________________________________________ที่มา&nbsp;Khmer Times &amp; General Department of Customs and Excise20 สิงหาคม 2568

08-20-25 กัมพูชาขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับเวียดนาม.pdf

small_กัมพูชาขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับเวียดนาม.jpg

thumbnail_กัมพูชาขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับเวียดนาม.jpg

กัมพูชาขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับเวียดนาม.jpg

“กัมพูชาขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับเวียดนาม” 

ข่าวศุลกากรบุกทลายขบวนการ LABUBU ปลอมลอบส่งออก.pdf

medium_Picture3.png

small_Picture3.png

thumbnail_Picture3.png

Picture3.png

สคต. ณ นครเซี่ยงไฮ้ (จีน)

ศุลกากรบุกทลายขบวนการ LABUBU ปลอมลอบส่งออก สะเทือนวงการของเล่นจีน

ข่าว “Holiland” ฝ่าคลื่นความท้าทายปรับภาพลักษณ์ด้วยร้านธีมต่าง ๆ หวังดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่ (Final).pdf

medium_Picture1.jpg

small_Picture1.jpg

thumbnail_Picture1.jpg

Picture1.jpg

“Holiland” ฝ่าคลื่นความท้าทายปรับภาพลักษณ์ด้วยร้านธีมต่าง ๆ หวังดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่

รัฐบาลกัมพูชาประกาศใช้อัตราภาษีศุลกากร&nbsp;0% สำหรับสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐอเมริกาและนำเข้ามายังกัมพูชา ยกเว้นสินค้ามือสอง​&nbsp;ตามประกาศของกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง และการชี้แจงของกรมศุลกากรและสรรพสามิต สินค้าที่ได้รับสิทธิภาษี&nbsp;0% ต้องเป็นสินค้าใหม่ที่ไม่เคยใช้งาน ผลิตในสหรัฐฯ และขนส่งโดยตรงมายังกัมพูชา โดยมีผลกับสินค้าที่บรรทุกจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่&nbsp;8 สิงหาคม&nbsp;2568 เป็นต้นไปดร.&nbsp;Kun Nhem อธิบดีกรมศุลกากรและสรรพสามิตกัมพูชา (General Department of Customs and Excise: GDCE)&nbsp;เปิดเผยว่า ไม่จำเป็นต้องใช้ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าจากสหรัฐฯ แต่ผู้นำเข้าต้องแจ้งข้อมูลแหล่งกำเนิดตามแบบฟอร์มและขั้นตอนที่กำหนดโดย GDCE เพื่อป้องกันการฉ้อโกง หากตรวจพบการกระทำผิด ผู้นำเข้าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งนี้ กรมศุลกากรและสรรพสามิต รายงานว่า ในช่วง&nbsp;7 เดือนแรกของปี&nbsp;2568 (ม.ค.–ก.ค.) มูลค่าการค้า รวมระหว่างกัมพูชา–สหรัฐฯ อยู่ที่&nbsp;7.12 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น&nbsp;25.8% โดยกัมพูชาส่งออก&nbsp;6.92 พันล้านดอลลาร์ นำเข้า&nbsp;201.57 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้สหรัฐฯ ขาดดุล&nbsp;6.72 พันล้าน สินค้าส่งออกหลักของกัมพูชา ได้แก่ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์เดินทาง รองเท้า เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง ขณะที่สินค้านำเข้าหลักจากสหรัฐฯ ได้แก่ รถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์เทคนิค ยา อุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มความเห็นของสำนักงานฯ&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;1)&nbsp;การยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ของกัมพูชา ถือเป็นโอกาสสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในภาคการผลิต และโลจิสติกส์ อย่างไรก็ตาม การยกเว้นภาษีอาจส่งผลให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตร เช่น ธัญพืชและเนื้อสัตว์ เนื่องจากสินค้านำเข้าอาจมีราคาถูกกว่าและคุณภาพสูงกว่า ทำให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;2)&nbsp;ด้านการลงทุน สหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในกัมพูชา เช่น&nbsp;RMA Automotive เปิดโรงงานประกอบรถยนต์&nbsp;Ford แห่งแรก เมื่อ&nbsp;16 มิ.ย.&nbsp;2565 มูลค่า&nbsp;21 ล้านดอลลาร์ พื้นที่กว่า&nbsp;5 ไร่ ก่อนจะขยายเป็น&nbsp;12 ไร่ เมื่อ&nbsp;22 เม.ย.&nbsp;2568 ลงทุนเพิ่ม&nbsp;26.8 ล้านดอลลาร์ กำลังผลิต&nbsp;10,000 คัน/ปี ล่าสุด&nbsp;TH Automotive และ&nbsp;General Motors เตรียมสร้างโรงงานประกอบ&nbsp;Chevrolet ที่กำปงชนัง มูลค่า&nbsp;19 ล้านดอลลาร์ เริ่มผลิตไตรมาส&nbsp;1 ปี&nbsp;2569 กำลังผลิต&nbsp;10,000–12,000 คัน/ปี ทั้งนี้ ในช่วง&nbsp;7 เดือนแรกปี&nbsp;2568 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับกัมพูชา&nbsp;6.72 พันล้านดอลลาร์___________________________________________________________________________ที่มา&nbsp;Phnom Penh Post, Khmer Times &amp; General Department of Customs and Excise18 สิงหาคม 2568

08-18-25 สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ได้สิทธิภาษีศุลกากร 0% ในกัมพูชา.pdf

small_สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ได้สิทธิภาษีศุลกากร 0% ในกัมพูชา.jpg

thumbnail_สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ได้สิทธิภาษีศุลกากร 0% ในกัมพูชา.jpg

สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ได้สิทธิภาษีศุลกากร 0% ในกัมพูชา.jpg

“สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ได้สิทธิภาษีศุลกากร 0% ในกัมพูชา” 

นิวซีแลนด์

ข้อมูลการค้า NZ_June  25.pdf

large_032DF949-4AFE-4F62-8B5B-0209A172AFFC.jpg

medium_032DF949-4AFE-4F62-8B5B-0209A172AFFC.jpg

small_032DF949-4AFE-4F62-8B5B-0209A172AFFC.jpg

thumbnail_032DF949-4AFE-4F62-8B5B-0209A172AFFC.jpg

032DF949-4AFE-4F62-8B5B-0209A172AFFC.jpg

สคต. ณ นครซิดนีย์ (ออสเตรเลีย)

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้านิวซีแลนด์เดือนมิถุนายน ปี 2568 

ออสเตรเลีย

ข้อมูลการค้าAUS_June  25.pdf

large_Aus import export.png

medium_Aus import export.png

small_Aus import export.png

thumbnail_Aus import export.png

Aus import export.png

รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าออสเตรเลียเดือนมิถุนายน ปี 2568

ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีกลับมาดิ่งอีกครั้ง &nbsp;ทำให้เกิดข้อกังขาว่า เศรษฐกิจของประเทศนี้จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างที่หวังหรือไม่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากสมาคมผู้ค้าปลีกชาวเยอรมัน (HDE – Handelsverband Deutschland) อยู่ที่ 97.64 จุด ซึ่งต่ำกว่าค่าดัชนีของเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย โดยที่ผ่านมาดัชนีตัวนี้เพิ่มขึ้น 6 เดือนติดต่อกัน แต่พอมาถึงเดือนสิงหาคม 2025 กลับพบว่า ค่าดัชนีฯ ต่ำกว่าค่าดัชนีของเดือนกรกฎาคมเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแม้จะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ถือว่า อยู่ในระดับเดียวกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ภาวะเศรษฐกิจของเยอรมนีที่ตกต่ำอย่างรุนแรงในช่วงฤดูหนาวปี 2024/25 สำหรับ ดัชนีผู้บริโภค (Consumer Barometer) จะได้มาจากผลสำรวจของตัวแทนจากครัวเรือนประมาณ&nbsp;1,600 ครัวเรือน ในเยอรมนี ซึ่งสถาบันวิจัย&nbsp;Handelsblatt (Handelsblatt Research Institute) จะทำการคำนวณดัชนีนี้ ให้กับ&nbsp;HDE เป็นประจำทุกเดือนการวิเคราะห์อย่างละเอียดแสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคมีความตั้งใจที่จะออมเงินมากขึ้น โดยในเดือนสิงหาคม 2025 ความกังวลด้านเงินเฟ้อได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคประเมินการพัฒนาการของรายได้ของตนดีกว่าเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย โดยรวมแล้วดูเหมือนจะเป็นที่ไม่ชัดเจนว่า ผู้บริโภคจะสามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 นี้ได้หรือไม่ จากข้อมูลอย่างเป็นทางการเบื้องต้น หลังจากหักลบ ปัจจัยอัตราเงินเฟ้อ ผลกระทบตามฤดูกาล และผลกระทบจากปฏิทินเศรษฐกิจ การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของผู้บริโภค และภาครัฐเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ขณะที่การลงทุนในธุรกิจก่อสร้างและชิ้นส่วนหดตัวลง สำนักงานสถิติประจำประเทศเยอรมนี (Statistisches Bundesamt) ประเมินว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตราการเพิ่มขึ้นของ&nbsp;GDP ในไตรมาสแรกยังถูกปรับลดลงจาก 0.4% เป็น 0.3% ดังนั้น จึงสามารถเรียกได้ว่า เศรษฐกิจเยอรมนียังไม่เข้าใกล้กับการเติบโตที่มั่นคง ในทางกลับกันตลาดแรงงานกำลังทยอยกลับมาเป็นปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในเดือนกรกฎาคม 2025 อัตราการว่างงานหลังจากหักลบความแปรปรวนตามฤดูกาลเพิ่มขึ้น เป็นเดือนที่ 31 ติดต่อกัน โดยมีผู้ลงทะเบียนว่างงานอยู่ที่ 2.97 ล้านคน หรือมีผู้ลงทะเบียนว่างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 750,000 คน เมื่อเทียบกับช่วงที่ตัวเลขต่ำสุดในฤดูใบไม้ผลิปี 2019 สำนักงานจัดหางานของรัฐบาลกลางเยอรมนี (BA - Bundesagentur für Arbeit) คาดว่า สถานการณ์การว่างงานจะไม่กลับมาดีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ นาง&nbsp;Andrea Nahles ผู้บริหาร&nbsp;BA กล่าวขณะนำเสนอข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2025 ว่า “เราน่าจะมีคนว่างงานเกินกว่าสามล้านคนในเดือนหน้า” อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันยังไม่มีทีท่าว่า เศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและยั่งยืน นาง&nbsp;Nahles ประเมินว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ในปี&nbsp;2026 แทนที่จะเป็นปี 2025 โดยนาง&nbsp;Bärbel Bas รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สังกัดพรรคสังคมนิยมเพื่อประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD - Sozialdemokratische Partei Deutschlands) ระบุว่า รัฐบาลได้กำหนดแนวทางการพัฒนาไว้แล้ว&nbsp;“ด้วยการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ เรากำลังวางรากฐานความมั่นคงในการจ้างงาน และจะมีการสร้างตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้น” แต่ความตั้งใจของรัฐบาลชุดนี้จะได้ผลหรือไม่นั้นดูเป็นเรื่องที่ยังไม่มีความชัดเจนในปัจจุบัน บ่อยครั้งที่โครงการลงทุนของรัฐกินเวลานานหลายปีกว่าจะผลิดอกออกผล โดยนับจากการวางแผนไปจนถึงสิ้นสุดโครงการลงทุนของรัฐบาลใช้เวลานานมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่แน่ชัดว่า หนี้สาธารณะเพิ่มเติมที่รัฐบาลกลางตั้งใจจะนำมาใช้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนั้น จะถูกนำไปใช้เพื่อปรับปรุงอะไรกันแน่ เมืองและเทศบาลผู้ที่ต้องรับผิดชอบโครงการก่อสร้างสาธารณะเหล่านี้ส่วนใหญ่กำลังบ่นถึงการขาดดุลงบประมาณที่สูงเป็นประวัติการณ์ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็กำลังประสบกับปัญหาค่าใช้จ่ายด้านสังคม บุคลากร และดอกเบี้ย ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ที่นาง&nbsp;Bas รัฐมนตรีฯ สัญญาไว้จะถูกนำมาเริ่มใช้ในเร็ววันนี้ทั้งนี้ทั้งนั้น ดูเหมือนว่า เยอรมนีจะยังไม่สามารถเอาชนะภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอได้ง่าย ๆ โดย “ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของธนาคาร&nbsp;Hamburg Commercial Bank (HCOB)” ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นาย&nbsp;Cyrus de la Rubia หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ HCOB กล่าวว่า ดัชนีดังกล่าวส่งสัญญาณว่า ภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอยังไม่สิ้นสุด แม้ว่าดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้น “อย่างต่อเนื่อง” นับตั้งแต่ต้นปีก็ตาม ปัจจุบันดัชนีที่อยู่ในระดับ 49.1 จุด ซึ่ง “ยังไม่สูงเกิน” เกณฑ์การเติบโตกลางที่อยู่ที่ 50 จุด นาย&nbsp;de la Rubia กล่าวต่อว่า “การลดสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว” ส่งสัญญาณว่า ภาวะเศรษฐกิจของภาคเอกชนยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างยั่งยืน ในระหว่างที่การประเมินสถานการณ์ในอนาคตกลับปรับตัวลดลงบ้าง ขนาดที่กระทรวงเศรษฐกิจฯ เองก็ยังคงระมัดระวังในรายงานประจำเดือน ในรายงานฉบับล่าสุดระบุว่า “การขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงซบเซาในช่วงครึ่งปีหลังของฤดูร้อน ด้วยความไม่แน่นอนจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ ทำให้เศรษฐกิจของเยอรมนียังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่” ผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนในการค้าต่างประเทศ และอุปสงค์ภายในประเทศก็อ่อนตัวลงตามเช่นกัน การพัฒนาเศรษฐกิจน่าจะ “ยังคงซบเซาไปชั่วขณะ” นาง&nbsp;Katherina Reiche รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจฯ สังกัดพรรคสหภาพคริสต์เตียนเพื่อประชาธิปไตยประเทศเยอรมนี (CDU - Christlich Demokratische Union Deutschlands เน้นย้ำว่า กุญแจสำคัญในขณะนี้คือ การทำให้ประเทศเยอรมนีสามารถกลับมามีกำลังในการแข่งขันได้อีกครั้ง นาง&nbsp;Reiche &nbsp;กล่าวต่อว่า “เราต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจ และต้องดำเนินการปฏิรูปที่กล้าหาญ”&nbsp;และคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ก็คือ ความสนับสนุนของภาครัฐนี้ควรจะมุ่งเป้าไปที่ใครก่อน&nbsp;จาก&nbsp;Handelsblatt 22 สิงหาคม&nbsp;2568

เยอรมนี

medium_Weekly News from Germany_20250822.jpg

small_Weekly News from Germany_20250822.jpg

thumbnail_Weekly News from Germany_20250822.jpg

Weekly News from Germany_20250822.jpg

สคต. ณ กรุงเบอร์ลิน (เยอรมนี)

 ผู้บริโภคเริ่มมีข้อสงสัยต่อภาวะเศรษฐกิจของเยอรมัน จนหันไปประหยัดมากขึ้น

ปี 2567 ตลาดค้าปลีกออสเตรเลียเผชิญกับภาวะยากลำบากภาคธุรกิจปิดกิจการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14.2 เช่น&nbsp;Godfreys, Booktopia และ&nbsp;Dion Lee เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลต่อค่าครองชีพและพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสินค้าจำเป็นมากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย รวมถึงการทำงานแบบ&nbsp;Hybrid&nbsp;ที่ทำให้ความต้องการเสื้อทำงาน (Corporate business wear) ลดลง ก่อเกิดการควบรวมกิจการในภาคธุรกิจค้าปลีกมากขึ้น เช่น&nbsp;Chemist Warehouse และ&nbsp;Sigma Healthcare&nbsp;ในธุรกิจเภสัชกรรม&nbsp;Myer ซื้อกิจการของ&nbsp;Premier Investments ในธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ เช่น&nbsp;Just Jeans, Jay Jays, Portmans, Dotti และ Jacqui E และการปิดสาขาให้บริการหลายแห่งของ&nbsp;Mosaic Brands (ประกอบด้วยแบรนด์ Katies, Rivers, Millers, Noni B) รวมถึงแบรนด์&nbsp;Country Road และ Trenery ของ&nbsp;Woolworths Holdings&nbsp;ช่วงปี 2568 ท่ามกลางการแข่งขันสูงภาคธุรกิจค้าปลีกออสเตรเลียมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมเทคโนโลยี ความยั่งยืน การจัดการต้นทุน และการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคซึ่งนิยมซื้อสินค้าผ่านมือถือและการเชื่อมต่อกับแบรนด์สินค้าโดยตรง อีกทั้งเศรษฐกิจออสเตรเลียในปี 2568 เริ่มฟื้นตัวเล็กน้อยและมีแนวโน้มจะขยายตัวร้อยละ&nbsp;2.1 เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น มีผลให้ยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายน 2568 ขยายตัวร้อยละ 1.2 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเปิดตัวของ&nbsp;Nintendo Switch 2 สินค้าของเล่นของสะสมและเทศกาลลดราคาในช่วงสิ้นปีงบประมาณ (EOFY) เป็นแรงขับเคลื่อนผู้บริโภคให้กลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง สินค้าส่วนใหญ่เป็นการซื้อในหมวดสินค้า&nbsp;Non-food เช่น&nbsp;สินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 และการใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 นอกจากนี้ ธุรกิจที่สร้างประสบการณ์ร่วมและการเชื่อมต่อระหว่างผู้ซื้อกับแบรนด์สินค้าอย่าง Pop Mart ที่เน้นการสร้างคุณค่าของสินค้าและกระตุ้นความต้องการสินค้าโดยไม่เน้นการแข่งขันด้านราคา ด้วยกลยุทธ์กล่องสุ่มที่ทำให้ผู้บริโภคยินดีที่จะซื้อซ้ำเพื่อให้ได้ครอบครองสินค้าที่หาได้ยาก มีการเติบโตทวนกระแสธุรกิจค้าปลีกอื่นๆในปี 2568 พฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคออสเตรเลียมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม ดังนี้1. การซื้อสินค้าผ่านมือถือและคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะมีความแตกต่างกัน ผู้บริโภคออสเตรเลียร้อยละ 95 ซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้บริโภค&nbsp;Gen X มากที่สุด (ร้อยละ99) และกลุ่ม Millennials (ร้อยละ&nbsp;97) ในขณะที่กลุ่ม Baby&nbsp;Boomers (ร้อยละ&nbsp;79) และผู้บริโภคเพศชาย (ร้อยละ76) นิยมซื้อสินค้าผ่านคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะเนื่องจากมีหน้าจอใหญ่2. กลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ซื้อสินค้าบ่อยขึ้น การซื้อสินค้าออนไลน์กลายเป็นกิจกรรมประจำทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะผู้บริโภครุ่นใหม่&nbsp;Gen Z (ร้อยละ&nbsp;51) และ&nbsp;Millennials ร้อยละ&nbsp;41 ที่ซื้อสินค้าออนไลน์หลายครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับแบรนด์ในการสร้างความจงรักภักดี สำหรับกลุ่ม&nbsp;Baby&nbsp;Boomers นิยมพิจารณาอย่างรอบครอบก่อนการซื้อสินค้าเสมอ การทำตลาดในกลุ่มนี้จึงควรเน้นความไว้วางใจ ความน่าเชื่อถือ และคุณค่าที่จะได้รับเป็นสำคัญ3. การซื้อสินค้าโดยตรงจากแบรนด์ได้รับความนิยมมากขึ้น แม้ว่าชาวออสเตรเลียจะนิยมซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มผู้ให้บริการซื้อขายสินค้าอย่าง Amazon และ&nbsp;ebay (ผู้ซื้อร้อยละ&nbsp;46 ใช้บริการเป็นประจำ) แต่ผู้บริโภคจำนวนมาก (ร้อยละ54) นิยมซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ของแบรนด์สินค้าโดยตรงเพื่อสิทธิพิเศษด้านราคาและประสบการณ์ที่ดีกว่า4. ปัญหาการทิ้งตะกร้าเพิ่มขึ้น สินค้าแบรนด์ต่างๆมักประสบปัญหาตะกร้าที่ถูกทิ้งซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen X (ร้อยละ&nbsp;60) และกลุ่ม Millennials (ร้อยละ&nbsp;44) ด้วยเหตุผลด้านต่างๆ เช่น ค่าจัดส่ง (ร้อยละ&nbsp;46) สินค้าหมดสต็อก (ร้อยละ&nbsp;17) และระบบการชำระเงินที่ซับซ้อน (ร้อยละ&nbsp;13)&nbsp;5. การซื้อสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ&nbsp;AI ผู้บริโภคกลุ่ม&nbsp;Millennials ร้อยละ&nbsp;42 และกลุ่ม&nbsp;Gen Z ร้อยละ&nbsp;38 ชื่นชอบกับประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วย&nbsp;AI&nbsp;(recommendations&nbsp;และแจ้งเตือนสินค้าที่ผู้บริโภคชื่นชอบหรือสินค้าที่เกี่ยวข้อง) แต่กลุ่ม Baby&nbsp;Boomers มีเพียงร้อยละ&nbsp;21 ที่ไว้วางใจกับการค้าปลีกที่ขับเคลื่อนด้วย AI&nbsp;6. การสื่อสารตลาดสร้างแรงกระตุ้นในการซื้อสินค้าที่แตกต่างกันการสื่อสารการตลาดของแบรนด์สินค้าเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าของผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ จะมีการตอบสนองที่แตกต่างกัน:<ul style="padding-left:48px;"><li>กลุ่ม Baby&nbsp;Boomers (ร้อยละ&nbsp;76) และกลุ่ม&nbsp;Gen X (ร้อยละ 68) การส่งเสริมการขายและส่วนลดมีอิทธิพลมากที่สุด</li><li>กลุ่ม Gen Z และกลุ่ม&nbsp;Millennials (ร้อยละ&nbsp;46) การรีวิวสินค้าจากลูกค้าเป็นแรงผลักดันในการซื้อ</li><li>กลุ่มผู้ซื้อเพศชาย (ร้อยละ&nbsp;20) และกลุ่ม&nbsp;Boomers (ร้อยละ&nbsp;19) ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง</li></ul>...........................................................................................สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครซิดนีย์ที่มา:www.insideretail.com.au&nbsp;

large_Aus Habit.jpg

medium_Aus Habit.jpg

small_Aus Habit.jpg

thumbnail_Aus Habit.jpg

Aus Habit.jpg

ส่องธุรกิจค้าปลีกออสเตรเลียและพฤติกรรมการซื้อสินค้าของชาวออสเตรเลีย

งานแสดงสินค้า&nbsp;Creative EXPO TAIWAN (CET)&nbsp;ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-11 สิงหาคม 2568 โดยพื้นที่จัดงานหลัก&nbsp;2&nbsp;แห่ง ได้แก่ โซนจัดแสดงวัฒนธรรม ที่สวนสร้างสรรค์ซงซาน และโซนจัดแสดงสินค้า ที่ ศูนย์แสดงสินค้าไทเปหนานกั่ง อาคาร 1 โดยในปีนี้ สามารถทำสถิติผู้เข้าชมงานและขนาดการจัดแสดงสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีผู้เข้าชมรวม 650,000&nbsp;คน และมีมูลค่าการซื้อขายรวมในโซนแสดงสินค้าสูงถึงประมาณ 1,485 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากปี 2567 และมีผู้เข้าชมที่เป็น Buyer&nbsp;และนักธุรกิจกว่า 28,000&nbsp;คน&nbsp;ในโซนแสดงสินค้า มีทั้งผลงาน IP Character&nbsp;และแบรนด์สินค้าออกแบบเชิงสร้างสรรค์ของไต้หวัน และต่างประเทศ&nbsp;10&nbsp;ประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย สหรัฐอเมริกา โปแลนด์ เป็นต้นโดยมีผู้จัดแสดงรวมกว่า 650&nbsp;แบรนด์ และใช้พื้นที่รวมกว่า 930&nbsp;คูหา ซึ่งในปีนี้ยังมีการเปิดโซนพิเศษ IP-STAR POP PARK&nbsp;เป็นครั้งแรก โดยคัดเลือก 34&nbsp;แบรนด์&nbsp;IP Character&nbsp;ของไต้หวันมาจัดแสดงในรูปแบบ Show Case เพื่อแสดงศักยภาพการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ดึงดูดผู้ชมมาถ่ายรูปและเรียนรู้โลกทัศน์ของตัวละคร&nbsp;IP&nbsp;ต่างๆ โดยรูปแบบการจัดงานที่ผสมผสานการขายปลีก (B2C)&nbsp;กับการเจรจาธุรกิจ (B2B)&nbsp;ได้รับคำชื่นชมจากผู้ร่วมงานจากทั้งในไต้หวันและนานาชาติเป็นอย่างมากด้วยเช่นกันในภาพรวม งานปีนี้มีการจัดจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจที่หลากหลาย โดยมี&nbsp;Buyer&nbsp;จากต่างประเทศกว่า 180&nbsp;คน เข้าร่วม ซึ่งสามารถจับคู่ธุรกิจได้สำเร็จมากกว่า 1,400&nbsp;ครั้ง โดยในจำนวนนี้ เป็นการจับคู่แบรนด์&nbsp;IP&nbsp;ชื่อดัง ของไต้หวัน เช่น Bailu Dream, Machiko Cat, Xioa Gao, Lu Shasha&nbsp;เป็นต้น กับบริษัทชั้นนำจากทั้งในไต้หวันและต่างประเทศได้สำเร็จถึง 84&nbsp;คู่ พร้อมทั้ง ยังมีการจัด IP Character Forum ซึ่งเน้นการสร้าง&nbsp;IP&nbsp;การทำรายได้ การต่อยอดข้ามแบรนด์ และการตลาดเชิงสร้างสรรค์ โดยได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี&nbsp;ในส่วนของผู้ประกอบการไทย ปีนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมงานผ่านโครงการ&nbsp;SMEs Pro-active&nbsp;จำนวน 2 ราย และยังมีผู้ประกอบการไทยจาก&nbsp;Digital Content Association of Thailand&nbsp;จำนวน 10 รายที่เข้าร่วมงานผ่านโครงการมาตรการคูปองดิจิทัล เพื่อขยายตลาดของธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล (Internationalization Voucher) ของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ในสินค้า&nbsp;IP Character&nbsp;ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายต่างก็นำผลงานที่มีการต่อยอด IP&nbsp;ในเชิงพาณิชย์ มาจัดแสดงเป็นจำนวนมาก เช่น ของขวัญ ของใช้ เครื่องเขียน ยาดม เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย เป็นต้น นอกจากนี้ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA)&nbsp;ยังได้นำผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าออกแบบจำนวน 8 ราย มาร่วมจัดแสดงในงานฯ ด้วยเช่นกัน ที่ต่างก็ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการไต้หวันและผู้บริโภคที่มาเข้าชมงาน ซึ่งแสดงความชื่นชอบต่อการออกแบบของไทยที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่มา: CNA, United Daily News, Li Media (11 August 2025)ข้อเสนอแนะ/ความคิดเห็นของ สคต.งาน&nbsp;CET&nbsp;ถือเป็นงานแสดงสินค้าของไต้หวันที่น่าสนใจสำหรับผู้ต้องการเจาะตลาดไต้หวัน เป็นแพลตฟอร์มในการซื้อขาย&nbsp;IP&nbsp;ระหว่างประเทศของไต้หวัน เห็นได้จากการที่งานฯ สามารถดึงดูดผู้เข้าชมงานทั้งในส่วนของ&nbsp;Buyer/นักธุรกิจ/ผู้บริโภค และมีแบรนด์จากต่างประเทศมาร่วมจัดแสดงเป็นจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังถือเป็นตลาดด้าน&nbsp;IP Licensing&nbsp;ที่สำคัญของเอเชียตะวันออก และเนื่องจากชาวไต้หวันค่อนข้างเปิดกว้างในการตอบรับ&nbsp;IP&nbsp;ใหม่ๆ จึงถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการสร้างความรับรู้ของแบรนด์ไทย โดยเฉพาะในส่วนของสินค้า&nbsp;IP Character&nbsp;ที่มีศักยภาพในการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ ชาวไต้หวันยังให้ความสำคัญต่อแหล่งผลิตสินค้าเป็นอย่างมาก ดังนั้น การที่ผู้ประกอบการไทยผลิตสินค้า&nbsp;IP ในประเทศไทย จะทำให้ได้รับการยอมรับง่ายกว่าการจ้างผลิตจากจีน

ไต้หวัน

680292B.pdf

large_IMG20250805151157.jpg

medium_IMG20250805151157.jpg

small_IMG20250805151157.jpg

thumbnail_IMG20250805151157.jpg

IMG20250805151157.jpg

สคต. ณ กรุงมะนิลา ส่วนที่ 2 (ไต้หวัน)

แบรนด์ IP Character และสินค้าออกแบบไทยนับ 20 ราย ร่วมโชว์ศักยภาพในงาน CET ของไต้หวัน

รัฐบาลอิตาลีไฟเขียวโครงการสร้างสะพานแขวนข้ามช่องแคบเมสซีนา (Messina) เชื่อมเกาะซิซิลี (Sicily) เข้ากับแผ่นดินใหญ่&nbsp; โดยมีมูลค่าโครงการกว่า&nbsp;13,500 ล้านยูโร และจะถือเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดโลก แม้เผชิญเสียงคัดค้านจากความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และอิทธิพลมาเฟียก็ตามคณะกรรมการเพื่อการวางแผนเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืน (CIPESS)&nbsp;ซึ่งมีตัวแทนจากหลายกระทรวงมาร่วมทำงานเพื่อประสานนโยบาย และกำกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ มีมติอนุมัติโครงการเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 โดยกระทรวงคมนาคมอิตาลียืนยันว่าแผนดังกล่าวถือเป็นตัวเร่งพัฒนา (“an accelerator for development”) สำหรับภาคใต้ของอิตาลี ที่เป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้ต่ำกว่าภาคเหนือและกลางของอิตาลี โดยเริ่มร่างกระบวนการก่อสร้างภายในฤดูร้อน 2568 นี้ และคาดว่าโครงการก่อสร้างจริงจะเริ่มในปี 2569 และตั้งเป้าแล้วเสร็จภายในปี&nbsp;2576&nbsp;รัฐบาลอิตาลีเคยเสนอโครงการก่อสร้างสะพานดังกล่าวครั้งแรกในปี 2512 แต่ถูกปัดตกไป และมีการรื้อฟื้นโครงการอีกครั้งภายใต้รัฐบาลของนาง&nbsp;Giorgia Meloni โดยในปี 2566&nbsp;ได้ระบุว่า โครงการนี้ถือเป็นความท้าทายสำหรับอิตาลีเป็นอย่างมาก แต่ถือเป็นโครงการที่สมเหตุสมผล เป็นการลงทุนเพื่อปัจจุบันและอนาคตของอิตาลีและเป็นโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาภาคใต้ของอิตาลีและประเทศอิตาลีโดยรวมโครงการสะพานแขวนช่องแคบเมสซีนาจะมีความยาวเกือบ 3.7 กิโลเมตร โดยช่วงสะพานแขวนกลางยาวถึง&nbsp;3.3 กิโลเมตร แซงหน้าสถิติสะพานแขวน&nbsp;Çanakkale&nbsp;ของตุรกีที่เปิดใช้เมื่อปี 2565 โครงสร้างประกอบด้วยถนน&nbsp;4 เลน และทางรถไฟรางคู่ สามารถรองรับรถยนต์&nbsp;6,000 คันต่อชั่วโมง และรถไฟ&nbsp;200 ขบวนต่อวัน&nbsp;นอกจากนี้ รัฐบาลอิตาลีระบุว่าสะพานดังกล่าวจะถูกจัดเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคง เนื่องจากสามารถใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ของ&nbsp;NATO ในการเคลื่อนย้ายกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปยังแนวป้องกันทางใต้ ซึ่งช่วยให้อิตาลีบรรลุเป้าหมายด้านงบกลาโหมตามที่&nbsp;NATO ได้กำหนดไว้อย่างไรก็ตาม องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมก็ได้ยื่นคำร้องต่อสหภาพยุโรป โดยแสดงความกังวลถึงผลกระทบต่อเส้นทางอพยพของนกอพยพ และตั้งคำถามว่า การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอที่จะชี้ชัดว่าโครงการนี้มีความจำเป็นเพื่อสาธารณะ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงของมาเฟีย แม้ในกฤษฎีกาโครงการรัฐบาลจะพยายามให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยกำกับมาตรการต่อต้านมาเฟีย แต่ประธานาธิบดีอิตาลี นาย SergioMattarella ยืนกรานว่าโครงการนี้อยู่ภายใต้กฎหมายต้านมาเฟียที่ใช้กับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทุกประเภท เพื่อป้องกันไม่ให้การกำกับดูแลได้รับการแทรกแซงโครงการนี้มอบหมายให้บริษัท WeBuild&nbsp;ของอิตาลี ซึ่งเคยชนะการประมูลตั้งแต่ปี&nbsp;2549 แต่ถูกยกเลิกในปี&nbsp;2556 ก่อนจะกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ทั้งนี้&nbsp;WeBuild&nbsp;ยังเป็นผู้สร้างสะพาน&nbsp;Çanakkale ในตุรกี ซึ่งจะเป็นต้นแบบวิศวกรรมให้กับการก่อสร้างสะพานเมสซีนา สำหรับข้อกังวลด้านแผ่นดินไหว เนื่องจากพื้นที่นี้เคยประสบแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อปี&nbsp;2451 WeBuild&nbsp;ชี้แจงว่าสะพานแขวนนี้จะมีความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนมากกว่าสะพานรูปแบบอื่น และมีตัวอย่างการก่อสร้างในพื้นที่เสี่ยง เช่น ญี่ปุ่น ตุรกี และแคลิฟอร์เนีย เป็นต้นในด้านเศรษฐกิจ รายงานวิเคราะห์ของ Unimpresa&nbsp;สมาพันธ์ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของอิตาลี ระบุว่า การลงทุน 13 พันล้านยูโรในการสร้างสะพานข้ามช่องแคบเมสซินาจะสร้างรายได้จากค่าผ่านทางและการขนส่งทางรถไฟอยู่ระหว่าง 535–800 ล้านยูโร/ปี ส่งผลให้มีกำไรปฏิบัติการประมาณ 100 ล้านยูโรต่อปี และคาดว่าใน 30 ปีข้างหน้า กำไรสะสมจะอยู่ราว 3 พันล้านยูโร ซึ่งคิดเป็นเพียง 23–25% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดเท่านั้นด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยังถือว่าจำกัด โดยคาดว่าการสร้างสะพานจะส่งผลต่อ&nbsp;GDP ของแคว้นซิซิลีต่ำกว่า 1% ต่อปี และของแคว้น Calabria ระหว่าง 1.4–2.3% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณสินค้าและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมต่อทั้งท่าเรือ สถานีขนส่ง และเครือข่ายทางรถไฟ เพื่อให้สะพานสามารถเป็น&nbsp;Logistics Hub ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศความคิดเห็นของสคต. ณ เมืองมิลาน1. ปัจจุบัน สินค้าอาหารไทยส่วนใหญ่ที่เข้ามาอิตาลีมักกระจายตัวไปทางตอนเหนือ เช่น ผ่านท่าเรือเจนัว (Genova)&nbsp;ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี หรือนำเข้าทางอากาศผ่านสนามบินมิลาน-มัลเปนซา (Milano Malpensa)&nbsp;ซึ่งเป็นช่องทางหลักของการค้าส่งออก แต่ในภาคใต้ของอิตาลียังมีศักยภาพที่สามารถพัฒนาเพิ่มขึ้นได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล เช่น เมืองเนเปิลส์ (Naples)&nbsp;เมือง&nbsp;Salerno&nbsp;และเกาะซิซิลี ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากและผู้บริโภคที่พร้อมเปิดรับวัฒนธรรมอาหารใหม่ๆ ทั้งนี้ สินค้าที่มาถึงท่าเรือซิซิลี มักต้องใช้เรือเฟอร์รี่ข้ามไปยังอิตาลีแผ่นดินใหญ่ ซึ่งอาจไม่สะดวกและเพิ่มต้นทุนการขนส่ง การสร้างสะพานแขวนข้ามช่องแคบเมสซีนาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งในอิตาลีตอนใต้จะช่วยแก้ไขปัญหานี้และเพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้าได้2. อย่างไรก็ตาม การเจาะตลาดอิตาลีทางตอนใต้ยังเผชิญข้อจำกัดหลายประการที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือจำนวนคนไทยในภูมิภาคนี้ยังน้อย ทำให้ความนิยมและความรู้จักอาหารไทยยังจำกัด นอกจากนี้ วัฒนธรรมอาหารท้องถิ่นทางใต้ยังคงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดบริโภคอาหารต่างชาติ โดยเฉพาะอาหารเอเชีย ยังขยายตัวได้ช้าเมื่อเทียบกับภาคเหนือของประเทศ3. การลงทุนในธุรกิจอาหารไทย เช่น การเปิดร้านอาหารไทย หรือการจำหน่ายสินค้าอาหารไทยควบคู่กับการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารไทย อาจช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวได้ นอกจากนี้ การทำกิจกรรมส่งเสริมการรับรู้ เช่น การจัดงานชิมอาหารไทย หรือแคมเปญส่งเสริมวัฒนธรรมอาหารไทย จะช่วยสร้างการรับรู้และภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าไทย ซึ่งในระยะยาวอาจช่วย ขยายมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารไทยไปยังอิตาลีตอนใต้ และกระจายความเสี่ยงจากตลาดเหนือที่มีการแข่งขันสูง&nbsp;ที่มา: 1.&nbsp;เครดิตภาพประกอบ:&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.geopop.it/quanto-puo-resistere-il-ponte-sullo-stretto-a-un-terremoto/">https://www.geopop.it/quanto-puo-resistere-il-ponte-sullo-stretto-a-un-terremoto/</a>&nbsp;2. <a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.corriere.it/economia/trasporti/25_agosto_12/ponte-sullo-stretto-perche-un-pedaggio-di-10-euro-per-le-auto-e-di-20-per-i-camion-non-basta-a-rientrare-nei-costi-6ae6b399-11c7-4d77-afbf-3990eab42xlk.shtml">https://www.corriere.it/economia/trasporti/25_agosto_12/ponte-sullo-stretto-perche-un-pedaggio-di-10-euro-per-le-auto-e-di-20-per-i-camion-non-basta-a-rientrare-nei-costi-6ae6b399-11c7-4d77-afbf-3990eab42xlk.shtml</a>&nbsp;3.&nbsp;<a target="_blank" rel="noopener noreferrer" href="https://www.euronews.com/2025/08/06/italy-greenlights-13-billion-project-to-build-worlds-largest-suspension-bridge-to-sicily">https://www.euronews.com/2025/08/06/italy-greenlights-13-billion-project-to-build-worlds-largest-suspension-bridge-to-sicily</a>&nbsp;&nbsp;สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมิลาน&nbsp;21 สิงหาคม 2568

อิตาลี

ข่าวเด่นประจำเดือนสิงหาคม 68 (ข่าวที่ 3).pdf

decreto-ponte-stretto-messina.avif

สคต. ณ เมืองมิลาน (อิตาลี)

อิตาลีอนุมัติสร้างสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก เชื่อมเกาะซิซิลีกับแผ่นดินใหญ่ งบลงทุนกว่า 13,500 ล้านยูโร

องค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศ (Knowledge of international trade)