การค้าต่างประเทศของยูเออีปี 2567 มูลค่ากว่า 817 พันล้านเหรียญสหรัฐฯสูงสุดเป็นประวัติการณ์

การส่งออกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ไปยังประเทศคู่ค้า 10 อันดับแรก เพิ่มขึ้น 37.1% เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น 13.4% ต่อปี

ตามที่ Sheikh Mohammed bin Rashid รองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของยูเออี ระบุในรายงานของสำนักข่าว WAM เกี่ยวกับการค้าต่างประเทศของยูเออี ขยายตัวในปีที่ผ่านมาในอัตรา 7 เท่าของอัตราการเติบโตของการค้าโลกที่ 2%

การค้าที่ไม่ใช่น้ำมันเติบโตขึ้น 42% เมื่อเทียบปีต่อปี เป็นมูลค่า 36,800 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้รับการสนับสนุนจากข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจแบบครอบคลุม (Comprehensive Economic Partnership Agreements : CEPA)   ซึ่งคิดเป็น 24% ของการส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมันทั้งหมดของยูเออี

Sheikh Mohammed กล่าวว่า เมื่อปี 2564 ยูเออีได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุการค้าต่างประเทศที่  1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯให้ได้ภายในปี 2574 แต่เมื่อสิ้นปี 2567 ยูเออีได้บรรลุ 75% ของเป้าหมายนั้นแล้ว และด้วยอัตรานี้จะบรรลุเป้าหมายก่อนเวลาหลายปี

การค้าที่ไม่ใช่น้ำมันของ ยูเออี กับคู่ค้าอันดับต้นๆ 10 ประเทศทั่วโลกเติบโตขึ้น 10% เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่การค้ากับประเทศอื่นๆ ขยายตัว 19% ต่อปีในปี 2567

การส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 153,100 ล้านเหรียญ ในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้น 27.6% จากปี 2566 ส่งผลให้การส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมันคิดเป็น 19% ของการค้าต่างประเทศทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2566

การส่งออกของ ยูเออี ไปยังประเทศคู่ค้า 10 อันดับแรก เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่ การส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น 13% ต่อปี สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ ทองคำ อัญมณี บุหรี่ น้ำมันปิโตรเลียม อลูมิเนียม ลวดทองแดง สิ่งพิมพ์ น้ำหอม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเหล็ก ซึ่งเติบโต 41% เมื่อเทียบปีต่อปี

ภาคการส่งออกต่อ (Re-export) มูลค่า 200 พันล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 7% จากปี 2566

การนำเข้าที่ไม่ใช่น้ำมันของยูเออี แตะ 463,800 ล้านเหรียญหรือเพิ่มขึ้น 14% เทียบกับปีก่อนการนำเข้าจากประเทศคู่ค้า 10 อันดับแรก เพิ่มขึ้น 6.7% ขณะที่การนำเข้าจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้น 22% สินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ ทองคำ โทรศัพท์มือถือ น้ำมันปิโตรเลียม รถยนต์ อัญมณี เพชร และคอมพิวเตอร์

ความคิดเห็นของ สคต.ดูไบ

การเติบโตของการค้าต่างประเทศของยูเออี ในปี 2567 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและนโยบายการค้าที่มีประสิทธิภาพของประเทศ โดยเฉพาะการขยายตัวของการค้าที่ไม่ใช่น้ำมัน ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน และการกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ

ในปี 2567 ยูเออีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 21 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 1 ในตะวันออกกลางมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับยูเออีประมาณ 20,688 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+8.5%)  การส่งออกของไทยมีมูลค่า 3,641  ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+9.8%)  และนำเข้า 17,047 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (+8.3%) หากการจัดทำความตกลง CEPA กับยูเออีลุล่วง จะช่วยให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังยูเออีได้มากขึ้น

โอกาสสำหรับประเทศไทย:

  • การขยายตลาดส่งออก ไทยสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังยูเออี โดยเฉพาะสินค้าที่ ยูเออี นำเข้าหลัก เช่น ทองคำ อัญมณี และผลิตภัณฑ์เกษตร
  • การลงทุนร่วมกัน: ยูเออี มีความสนใจในการลงทุนในต่างประเทศ ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจาก ยูเออี ในสาขาต่างๆ เช่น พลังงานทดแทน เทคโนโลยี และการท่องเที่ยว
  • ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: ไทยและ ยูเออี สามารถเจรจาข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Cepa) เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน

ผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยและยูเออี

  • การเพิ่มขึ้นของการค้า: การเติบโตของการค้าของยูเออี จะส่งผลให้ความต้องการสินค้าและบริการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับไทยที่จะขยายการส่งออก
  • การแข่งขันที่สูงขึ้น: การที่ยูเออี มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายประเทศ อาจทำให้ไทยต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ มากขึ้น
  • การพัฒนาธุรกิจใหม่: การเติบโตของยูเออี อาจส่งผลให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การค้าดิจิทัล การขนส่ง และโลจิสติกส์

โดยสรุป การเติบโตของการค้าของยูเออี เป็นโอกาสที่ดีสำหรับไทยในการขยายตลาดและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่ไทยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อแข่งขันและใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้อย่างเต็มที่

—————————————————————

 

de_DEGerman