เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

สหรัฐอเมริกาได้ประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าในอัตรา 30% สำหรับสินค้าทุกประเภทจากแอฟริกาใต้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่&nbsp;1&nbsp;สิงหาคม&nbsp;2568 ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าจากแอฟริกาใต้ในตลาดสหรัฐฯ ลดลงอย่างชัดเจน โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ เกษตรกรรม (อาทิ ไวน์ ผลไม้ และสินค้าเกษตรแปรรูป) เหมืองแร่และทรัพยากรธรรมชาติ (อาทิ แพลตตินัม แมงกานีส) และการผลิต (ชิ้นส่วนยานยนต์ สิ่งทอ และสินค้าส่งออกเฉพาะกลุ่ม)อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ในแอฟริกาใต้ได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากการส่งออกบริการ เช่น ซอฟต์แวร์ การพัฒนาโปรแกรมทางไกล (Remote development) ความปลอดภัยไซเบอร์ การออกแบบระบบคลาวด์ และการให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านคลาวด์ (Software-as-a-Service&nbsp;:SaaS) ไม่อยู่ในข่ายการจัดเก็บภาษี ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีจึงยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ บริษัท&nbsp;IT&nbsp;หลายราย ได้ปรับกลยุทธ์โดยหันไปขยายตลาดในยุโรป เอเชีย และภูมิภาคแอฟริกา ขณะเดียวกัน ธุรกิจสตาร์ทอัพมุ่งเน้นตอบโจทย์ลูกค้าในทวีปแอฟริกามากขึ้น เช่น&nbsp;HealthTech, FinTech, EdTech, AgriTech&nbsp;นอกจากนี้ การทำงานระยะไกล (Remote Work) ยังคงเติบโต เนื่องจากไม่ถือเป็นการนำเข้าสินค้า สหรัฐฯจึงไม่เก็บภาษีนำเข้า บริษัทในสหรัฐฯ จึงยังคงมองหาแรงงานฝีมือจากแอฟริกาใต้เพื่อประหยัดต้นทุนและใช้ความใกล้เคียงด้านเขตเวลา (Time zone)&nbsp;ที่ผ่านมาหลังสถานการณ์โควิด-19 การว่าจ้างงานข้ามพรมแดนได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้บุคลากรด้านเทคโนโลยีของแอฟริกาใต้ยังคงสามารถทำงานให้กับบริษัทในสหรัฐฯ ได้มาตรการเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ แม้เป็นอุปสรรคต่อภาคการค้า แต่ก็เป็นแรงกระตุ้นให้แอฟริกาใต้เร่งขยายความร่วมมือกับประเทศในทวีปและกลุ่ม&nbsp;BRICS กระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลดการพึ่งพาการส่งออกสินค้าจริง และเพิ่มการส่งออกบริการดิจิทัล ซึ่งหากภาษียังคงมีผลบังคับใช้ในระยะยาว อาจทำให้การส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลง การผลิตเพื่อรองรับตลาดในภูมิภาคเพิ่มขึ้น รายได้จากภาคดิจิทัลและงานระยะไกลขยายตัว และความร่วมมือทางเศรษฐกิจในทวีปผ่านกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีทวีปแอฟริกา (The&nbsp;African Continental Free Trade Area:&nbsp;AfCFTA) เข้มแข็งขึ้นข้อมูลเพิ่มเติมและความเห็นของสำนักงานฯ&nbsp;:&nbsp;แม้มาตรการภาษีนำเข้า 30% ของสหรัฐฯ ได้สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจแอฟริกาใต้อย่างมาก แต่ก็เป็นตัวเร่งให้แอฟริกาใต้หันมาพึ่งพาตลาดภายในทวีปและเร่งขยายความร่วมมือกับกลุ่ม BRICS&nbsp;และประเทศสมาชิก&nbsp;AfCFTA&nbsp;สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังแอฟริกาใต้ หากสินค้าส่งออกดังกล่าวอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าส่งออกของแอฟริกาใต้ไปยังสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องหาคู่ค้าใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบกรณีสหรัฐฯ เพิ่มภาษี&nbsp;30% แก่สินค้าจากแอฟริกาใต้&nbsp;นอกจากนี้ การที่แอฟริกาใต้ต้องการขยายความร่วมมือกับประเทศต่างๆเพิ่มมากขึ้น (ทดแทนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ) ประเทศไทยอาจใช้โอกาสนี้ในการกระชับความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านการขับเคลื่อนโดยคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - แอฟริกาใต้ (Joint Trade Committee: JTC)&nbsp;&nbsp;เครดิตภาพและที่มาข่าว www.rahn.co.za&nbsp;ประมวลโดย สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพริทอเรียสิงหาคม 2568

แอฟริกาใต้

"mueanfunr@ditp.go.th"