เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

บังกลาเทศ

บังกลาเทศขยายการส่งออกสินค้าฮาลาลเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก.pdf

small_halal-map-20250803212541.jpg

thumbnail_halal-map-20250803212541.jpg

halal-map-20250803212541.jpg

สคต. ณ กรุงธากา (บังกลาเทศ)

บังกลาเทศขยายการส่งออกสินค้าฮาลาลเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ข่าวจากสำนักข่าวออนไลน์ https://tribune.com.pk&nbsp;&nbsp;รายงานว่าเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำปากีสถาน นายฝ่าม อัน ตวน (H.E. Pham Anh Tuan) เปิดเผยว่า เวียดนามและปากีสถาน ได้ตกลงร่วมกันที่จะพิจารณาจัดทำข้อตกลงการค้าพิเศษ (Preferential Trade Agreement- PTA) เพื่อเป็นรากฐานทางกฎหมายที่มั่นคง ในการขยายการเข้าถึงตลาดและลดอัตราภาษีศุลกากร ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว APP เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เอกอัครราชทูตกล่าวว่า หลังจากการสรุปข้อตกลง&nbsp;PTA ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมการค้าและการลงทุนทวิภาคี เพื่อมุ่งสู่การจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement- FTA) ที่ครอบคลุมมากขึ้นในอนาคต &nbsp;การประชุมคณะกรรมการการค้าทวิภาคีครั้งสำคัญ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ในการประชุมครั้งที่ 5 ของคณะกรรมการการร่วมการค้าปากีสถาน-เวียดนาม (Pakistan-Vietnam Joint Trade Committee- JTC) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงฮานอยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี เอกอัครราชทูตระบุว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่เชิงยุทธศาสตร์ หลังจากที่คณะกรรมการ&nbsp;JTC ไม่ได้จัดการประชุมมานานถึง 8 ปี โดยคณะกรรมการดังกล่าว ทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างเป็นระบบ และเป็นช่องทางสำหรับการเจรจาอย่างสม่ำเสมอ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 เวียดนามได้ยื่นร่างข้อตกลง&nbsp;PTA อย่างเป็นทางการ พร้อมรายการสินค้าส่งออกสำคัญกว่า 80 รายการ โดยขอให้ปากีสถานพิจารณาลดอัตราภาษีศุลกากรลงเหลือ 0-5% ซึ่งปากีสถานตอบรับข้อเสนอนี้ด้วยความยินดี และให้คำมั่นว่าจะดำเนินการศึกษาและเริ่มการเจรจาภายในปีนี้ผลลัพธ์จากการประชุม&nbsp;JTC&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลสำเร็จจากการประชุม&nbsp;JTC รวมถึงการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนธุรกิจ การจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ รวมถึงการส่งเสริมให้ทั้งสองฝ่าย เข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญของกันและกัน โดยเวียดนาม ได้ขอให้ปากีสถานสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยมากขึ้น สำหรับผู้ประกอบการชาวเวียดนามที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าในปากีสถาน และเชิญชวนให้ปากีสถานเข้าร่วมงานแสดงสินค้าสำคัญในเวียดนาม เช่น&nbsp;Saigontex, Hanoitex, SaigonFabric และ&nbsp;HanoiFabric ในทางกลับกัน ปากีสถานได้เชิญชวนให้เวียดนามเข้าร่วมงานนิทรรศการในปากีสถาน เช่น&nbsp;Texpo, HEMS และ&nbsp;FoodAgความสำคัญของปากีสถานในอุตสาหกรรมสิ่งทอของเวียดนาม&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เอกอัครราชทูตเน้นย้ำว่า เวียดนามให้ความสำคัญกับปากีสถานในฐานะผู้ส่งออกเส้นใยรายใหญ่อันดับที่ 14 ของกรุงฮานอย โดยเวียดนามมีความประสงค์ที่จะเพิ่มการนำเข้าฝ้าย ผ้า และวัตถุดิบจากปากีสถาน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เพื่อการส่งออกของเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศความร่วมมือด้านประมงและการแก้ไขอุปสรรค&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ในด้านความร่วมมือด้านการประมง เอกอัครราชทูตระบุว่า เนื้อปลาแปรรูป (fish fillets) คิดเป็นสัดส่วนถึง 98% ของการส่งออกสินค้าประมงของเวียดนามไปยังปากีสถาน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะขจัดอุปสรรคทางการค้า แก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ เพื่อส่งเสริมการค้าสินค้าประมงอย่างยั่งยืนมองสู่อนาคต&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การฟื้นฟูการประชุม&nbsp;JTC และการริเริ่มข้อตกลง PTA เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นของทั้งเวียดนามและปากีสถานในการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การลดอัตราภาษีและการขยายโอกาสทางการค้าจะช่วยเพิ่มปริมาณการค้าและการลงทุนทวิภาคี ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศที่มาข่าว/ภาพ:&nbsp;https://tribune.com.pk/story/2558999/pakistan-vietnam-to-finalise-pta-soon&nbsp;

ปากีสถาน

ความคืบหน้าข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามและปากีสถาน.pdf

small_pakistan-VN-PTA.webp

thumbnail_pakistan-VN-PTA.webp

pakistan-VN-PTA.webp

ความคืบหน้าข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างเวียดนามและปากีสถาน

&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;วันที่&nbsp;1 สิงหาคม&nbsp;2568 – สหรัฐอเมริกาได้ตกลงลดอัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) สำหรับสินค้าบังกลาเทศจาก&nbsp;35% เหลือ&nbsp;20% หลังจากการเจรจาทางการค้าระหว่างรัฐบาลชั่วคราวของบังกลาเทศและสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การปรับลดภาษีนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่เจ็ดหลังจากการลงนามในคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมีผลตั้งแต่เวลา&nbsp;00:01 น. ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ (10:01 น. ตามเวลาบังกลาเทศ) และยกเว้นสินค้าที่อยู่ในระหว่างการขนส่งก่อนวันที่&nbsp;7 สิงหาคม และสินค้าที่เข้าสู่สหรัฐฯ ก่อนวันที่&nbsp;5 ตุลาคม&nbsp;พัฒนาการของการเจรจาและบริบท&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การลดภาษีครั้งนี้เป็นผลจากการเจรจาหลายรอบที่เริ่มต้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้ภาษีตอบโต้ในอัตรา 37% เมื่อวันที่&nbsp;2 เมษายน&nbsp;2568 โดยอ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศ รวมถึงบังกลาเทศ ต่อมาในวันที่&nbsp;9 เมษายน สหรัฐฯ ระงับการใช้ภาษีเป็นเวลา&nbsp;3 เดือนเพื่อเปิดโอกาสให้เจรจา และเมื่อวันที่&nbsp;9 กรกฎาคม อัตราภาษีสำหรับบังกลาเทศถูกลดลงเหลือ&nbsp;35% พร้อมกำหนดเส้นตายการเจรจาเพิ่มเติมถึงวันที่&nbsp;31 กรกฎาคม การเจรจารอบสุดท้ายเริ่มขึ้นเมื่อวันที่&nbsp;29 กรกฎาคม หลังจากที่บังกลาเทศยื่นเอกสารแสดงจุดยืนเมื่อวันที่&nbsp;23 กรกฎาคม โดยเปลี่ยนจากการประชุมออนไลน์เป็นการเจรจาแบบตัวต่อตัว ซึ่งนำไปสู่การตกลงลดภาษีเหลือ&nbsp;20% อัตรานี้เทียบเท่ากับเวียดนามและศรีลังกา แต่ต่ำกว่าอินเดีย (25%) และจีน (30%)&nbsp;ผลกระทบต่อเศรษฐกิจบังกลาเทศ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูป (RMG) ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ&nbsp;8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดภาษีครั้งนี้ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนสินค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม ภาษีตอบโต้&nbsp;20% เมื่อรวมกับภาษีปกติ&nbsp;15% ทำให้ภาระภาษีรวมอยู่ที่&nbsp;35% นอกจากนี้ กฎแหล่งกำเนิดสินค้า (RoO) ที่กำหนดให้มีการเพิ่มมูลค่าในท้องถิ่น 40% อาจทำให้ภาษีรวมสูงถึง&nbsp;50% หากใช้วัตถุดิบจากประเทศที่สาม เช่น จีน ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและความท้าทายในการแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;บังกลาเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า&nbsp;6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ส่งออก&nbsp;8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นำเข้า&nbsp;2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจา รัฐบาลบังกลาเทศเสนอเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวสาลี&nbsp;700,000 ตันต่อปี ฝ้าย ถั่วเหลือง เครื่องบินโบอิ้ง&nbsp;25 ลำ และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อลดช่องว่างทางการค้า อย่างไรก็ตาม ข้อผูกพันเหล่านี้อาจเพิ่มภาระงบประมาณในระยะยาว&nbsp;ความท้าทายจากผลการเจรจา&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; - ข้อผูกพันที่ไม่เปิดเผย การเจรจานี้รวมถึงข้อตกลงที่อยู่ภายใต้สัญญาการไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายสาธารณะของบังกลาเทศในอนาคต เช่น การควบคุมราคาในประเทศหรือการปกป้องอุตสาหกรรมท้องถิ่น&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; - การสูญเสียสถานะ&nbsp;LDC เมื่อบังกลาเทศพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) ในปี&nbsp;2569 จะสูญเสียสิทธิพิเศษทางการค้าในหลายตลาด การลดภาษีครั้งนี้จึงเป็นเพียงการบรรเทาชั่วคราว&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;- ความเสี่ยงต่อคำสั่งซื้อ สมาคมผู้ผลิตและผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มแห่งบังกลาเทศ (BGMEA) เตือนว่าผู้ซื้อในสหรัฐฯ อาจลดคำสั่งซื้อในระยะสั้น เนื่องจากภาระภาษีที่ยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม หากภาษีของจีนยังคงสูงกว่าบังกลาเทศ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อจากจีนมาสู่บังกลาเทศ&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การลดภาษีครั้งนี้บังกลาเทศมองว่าเป็นความสำเร็จของทีมเจรจา นำโดยที่ปรึกษาการค้า (เทียบเท่า รมว. กระทรวงพาณิชย์) เชค บาชีร์ อูดดิน พร้อมด้วยที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ คาลิลูร์ ราห์มาน และเลขานุการการค้า มหบูร์ ราห์มาน การเจรจานี้ไม่เพียงช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม&nbsp;RMG แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความสามารถของรัฐบาลชั่วคราวในการจัดการกับมหาอำนาจทางการค้า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้บังกลาเทศเร่งปฏิรูปโครงสร้าง เช่น การกระจายสินค้าส่งออก ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากสถานะ&nbsp;LDC และความผันผวนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ&nbsp;ที่มาข่าว/ภาพ &nbsp;https://www.tbsnews.net&nbsp;

สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าบังกลาเทศเหลือ 20.pdf

small_tariff.jpg

thumbnail_tariff.jpg

tariff.jpg

สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าบังกลาเทศเหลือ 20% จาก 35%

ศักยภาพของตลาดสุขภาพในบังกลาเทศและโอกาสของไทย.pdf

medium_Health.jpg

small_Health.jpg

thumbnail_Health.jpg

Health.jpg

ศักยภาพของตลาดสุขภาพในบังกลาเทศและโอกาสของไทย

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 บังกลาเทศได้เริ่มต้นการเจรจาครั้งสำคัญกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อแสวงหาข้อตกลงทางการค้าที่เป็นธรรมและหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 35 สำหรับสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 การเจรจานี้เป็นส่วนหนึ่งของการหารือสามวัน โดยอาจมีการประชุมเพิ่มเติมในวันที่ 1 สิงหาคม การเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบังกลาเทศ ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูป (ready-made garments) ไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ บริบทของการเจรจา &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บังกลาเทศเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูปชั้นนำของโลก โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลัก ในปีงบประมาณ 2566-2567 บังกลาเทศส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐมูลค่า 7.68 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นำเข้าสินค้าจากสหรัฐมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2567-2568 สินค้าส่งออกหลักคือเครื่องนุ่งห่มสำเร็จรูป ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ คือ เศษเหล็ก (iron scraps) ความไม่สมดุลทางการค้านี้ทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มองว่าบังกลาเทศได้เปรียบทางการค้า “อย่างไม่เป็นธรรม” ส่งผลให้มีการประกาศเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 35 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ซึ่งลดลงจากอัตราเริ่มต้นร้อยละ 37 ที่ระบุเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเจรจาครั้งนี้นำโดยนาย Sk Bashir Uddin ที่ปรึกษาด้านการพาณิชย์ของรัฐบาลชั่วคราวบังกลาเทศ (เทียบเท่า รมว.) ร่วมด้วยนาย Khalilur Rahman ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ นาย Mahbubur Rahman เลขาธิการกระทรวงพาณิชย์ และนาง Nazneen Kawshar Chowdhury รองเลขาธิการ คณะเจรจามีความหวังว่าจะสามารถลดอัตราภาษีหรือรักษาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าบังกลาเทศในตลาดสหรัฐฯ ข้อเสนอของบังกลาเทศ เพื่อลดช่องว่างทางการค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับฝ่ายสหรัฐฯ ดังนี้ •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสั่งซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ บังกลาเทศได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อนำเข้าข้าวสาลี 0.7 ล้านตันจากสหรัฐฯ ภายในห้าปี โดยในปีแรกจะนำเข้า 0.22 ล้านตัน นอกจากนี้ ยังมีการสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 25 ลำ ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งสำคัญเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า คาดว่ามูลค่าการสั่งซื้อเหล่านี้จะสูงกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แผนเพิ่มการนำเข้า&nbsp; รัฐบาลบังกลาเทศวางแผนเพิ่มมูลค่าการนำเข้าจากสหรัฐฯ อีก 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในหนึ่งปีครึ่งข้างหน้า โดยเน้นสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเลนทิล และข้าวสาลี นักธุรกิจบังกลาเทศหลายรายได้เดินทางไปสหรัฐเพื่อเจรจากับคู่ค้าในประเด็นเหล่านี้ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของภาคเอกชนในการสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาล •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การทูตเชิงรุก บังกลาเทศใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นของฝ่ายบริหารทรัมป์ ซึ่งเพิ่งลดภาษีให้สำหรับบางประเทศ เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการพาณิชย์ของบังกลาเทศ แสดงความหวังว่า สหรัฐฯ อาจเสนออัตราภาษีที่เป็นมิตรต่อบังกลาเทศ โดยอ้างถึงการปรับลดภาษีจากร้อยละ 37 เป็นร้อยละ 35 ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ในการเจรจา •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การมีส่วนร่วมของภาคเอกชน การเจรจาครั้งนี้มีการปรึกษาหารือกับนักธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการขึ้นภาษี การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนช่วยให้ข้อเสนอของบังกลาเทศมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ข้อสังเกตและจุดอ่อนไหวของบังกลาเทศ •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความผันผวนของนโยบายทรัมป์&nbsp; นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์คาดเดาได้ยาก หรือไม่มีความเป้นไปได้เลย แต่ยังคงมีช่องว่างบางประการ เช่น การขยายระยะเวลาการระงับภาษีจากวันที่ 9 กรกฎาคมเป็นวันที่ 1 สิงหาคม 2568 แสดงถึงความยืดหยุ่นบางประการ แต่ก็เพิ่มความยอกย้อน ไม่แน่นอนในการเจรจา •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อจำกัดของ USTR&nbsp; การเจรจาครั้งก่อนหน้าเผยให้เห็นว่า USTR มีอำนาจจำกัดในการปรับลดอัตราภาษี โดยการตัดสินใจสุดท้ายขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารของทรัมป์ ซึ่งทำให้การเจรจามีความซับซ้อน •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งจ้างงานกว่า 4 ล้านคนและมีส่วนใน GDP ร้อยละ 10 อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน หากภาษีร้อยละ 35 บวกกับภาษีเดิมร้อยละ 15 ถูกบังคับใช้ อาจทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ส่งผลให้ความต้องการในสหรัฐลดลงและอาจนำไปสู่การยกเลิกคำสั่งซื้อ •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การแข่งขันในตลาดโลก ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามได้รับการลดภาษีเหลือร้อยละ 20 ซึ่งทำให้บังกลาเทศเสียเปรียบในแง่ราคา หากสถานการณ์ยืดเยื้อ อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก ผลกระทบต่อบังกลาเทศภายใต้นโยบายภาษีสหรัฐฯ •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม การเพิ่มภาษีอาจนำไปสู่การสูญเสียงานในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะแรงงานหญิง ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของภาคนี้ การลดลงของการส่งออกอาจกระทบต่อภาคการธนาคาร การประกันภัย และการขนส่ง •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความท้าทายต่อการพัฒนา การเพิ่มภาษีอาจขัดขวางความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของบังกลาเทศ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (LDC) โดยเฉพาะในด้านการเสริมสร้างพลังให้กับแรงงานหญิงและการพัฒนาเศรษฐกิจที่ครอบคลุม •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มิติภูมิรัฐศาสตร์ การกำหนดภาษีอาจมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ของบังกลาเทศกับกลุ่ม BRICS หรือจีน ซึ่งอาจทำให้สหรัฐฯ ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดัน •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โอกาสสำหรับความร่วมมือ การเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสหรัฐอาจช่วยสร้างกรอบการค้าที่เป็นธรรมและยั่งยืน ทางหนีทีไล่ของบังกลาเทศ •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน การรวมตัวแทนจากสมาคมผู้ผลิตและส่งออกเครื่องนุ่งห่ม (BGMEA) และสมาคมผู้ผลิตและส่งออกสิ่งทอ (BTMA) จะช่วยให้การเจรจาสะท้อนความต้องการของภาคธุรกิจและเพิ่มน้ำหนักในการเจรจา •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เสริมสร้างการทูตเชิงรุก&nbsp; การจ้างนักล็อบบี้ที่มีประสบการณ์ในสหรัฐฯ และการทำงานร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศ เช่น อินเดียหรือสหภาพยุโรป เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองของบังกลาเทศ ซึ่งบังกลาเทศอาจต้องคิดหนักกับค่าใช้จ่าย •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กระจายตลาดส่งออก เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ บังกลาเทศควรเร่งขยายตลาดส่งออกไปยังสหภาพยุโรป อาเซียน หรือจีน ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากภาษี •&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ลงทุนในนวัตกรรม&nbsp; การเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานและการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยจะช่วยให้บังกลาเทศรักษาความสามารถในการแข่งขัน แม้เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษี สรุป &nbsp; &nbsp; การเจรจาระหว่างบังกลาเทศและ USTR ในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตที่อาจกำหนดทิศทางของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ การที่บังกลาเทศแสดงความมุ่งมั่นในการเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น การสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งและข้าวสาลี สะท้อนถึงความพยายามในการลดช่องว่างทางการค้า อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของนโยบายทรัมป์และข้อจำกัดของ USTR ทำให้ผลลัพธ์ของการเจรจายังคงไม่แน่นอน หากบังกลาเทศสามารถบรรลุข้อตกลงที่ลดอัตราภาษีลงได้ จะเป็นการปกป้องอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและรักษางานของแรงงานนับล้านคน แต่หากล้มเหลว ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของบังกลาเทศอาจรุนแรง การเจรจาครั้งนี้จึงเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการพิสูจน์ความสามารถของบังกลาเทศในการนำทางการเมืองระหว่างประเทศและปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตน การเพิ่มการนำเข้าสินค้าอาหารจากสหรัฐฯ ทำให้โอกาสการนำเข้าสินค้าอาหารจากไทยน้อยลง &nbsp; ที่มาภาพ/ข่าว https://www.daily-sun.com/

บังกลาเทศเริ่มต้นเจรจาผู้แทนการค้าสหรัฐฯ รอบใหม่.pdf

medium_us-bang.jpg

small_us-bang.jpg

thumbnail_us-bang.jpg

us-bang.jpg

บังกลาเทศเริ่มต้นเจรจาผู้แทนการค้าสหรัฐฯ รอบใหม่

medium_infograph_ctg_port_moves_to_hike_tariffs-01_0.jpg

small_infograph_ctg_port_moves_to_hike_tariffs-01_0.jpg

thumbnail_infograph_ctg_port_moves_to_hike_tariffs-01_0.jpg

infograph_ctg_port_moves_to_hike_tariffs-01_0.jpg

บังกลาเทศปรับขึ้นค่าธรรมเนียมท่าเรือจิตตะกอง

medium_p4-ldc-1.jpeg

small_p4-ldc-1.jpeg

thumbnail_p4-ldc-1.jpeg

p4-ldc-1.jpeg

ความท้าทายและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านสถานะจากประเทศด้อยพัฒนาของบังกลาเทศ

medium_2294722.webp

small_2294722.webp

thumbnail_2294722.webp

2294722.webp

มิติใหม่ของบังกลาเทศ การเปิดตัว Starlink อย่างเป็นทางการ

small_brri.jpg

thumbnail_brri.jpg

brri.jpg

นวัตกรรมข้าวพันธุ์ใหม่ของ BRRI บังกลาเทศ

โอกาสและความท้าทายในตลาดข้าวของบังกลาเทศ.pdf

small_rice_market.jpg

thumbnail_rice_market.jpg

rice_market.jpg

โอกาสและความท้าทายในตลาดข้าวของบังกลาเทศ

medium_p3_highlights.jpg

small_p3_highlights.jpg

thumbnail_p3_highlights.jpg

p3_highlights.jpg

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการบินในบังกลาเทศ

small_img_0694.jpeg

thumbnail_img_0694.jpeg

img_0694.jpeg

ความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างบังกลาเทศและสหรัฐอเมริกา

"khemathat Archawathamrong"