ประเด็นร้อน (Hot Topics)

สหรัฐอเมริกา

medium_TTCLA_Reciprocal Tariff_August2025-ditp.jpg

small_TTCLA_Reciprocal Tariff_August2025-ditp.jpg

thumbnail_TTCLA_Reciprocal Tariff_August2025-ditp.jpg

TTCLA_Reciprocal Tariff_August2025-ditp.jpg

สคต. ณ นครลอสแอนเจลิส (สหรัฐอเมริกา)

สถานการณ์ล่าสุด ภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดี Donald Trump

เจาะลึกตลาดโลก (Deep insight into the global market)

เมื่อต้นปี 2568 ประธานาธิบดี Donald Trump ได้มีคำสั่งให้สอบสวนการนำเข้าทองแดง โดยใช้อำนาจภายใต้ Section 232 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีปรับเปลี่ยนภาษีนำเข้าได้ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยของประเทศ เมื่อวันที่ 9 กรกฏาคม 2568 ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศบน Truth Social ของเขาถึงแผนการที่จะขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงร้อยละ 50 เริ่มต้นวันที่ 1 สิงหาคม 2568แผนการขึ้นภาษีทองแดงร้อยละ 50 ในครั้งนี้ ประธานาธิบดี Trump ให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศ ซึ่งมีการวิเคราะห์เป้าหมายของฝ่ายบริหารประธานาธิบดี Trump ในการขึ้นภาษีทองแดง ไว้ดังนี้&nbsp;<ol style="list-style-type:decimal;"><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:0.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">ในระยะสั้นคือ เขาต้องการสร้างโอกาสการเติบโตของการผลิตในประเทศ ที่ซึ่งที่ผ่านมา สหรัฐฯ ส่งออกเศษทองแดง (scrap copper) ไปเข้ากระบวนการผลิตในต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน การส่งออกเศษทองแดงออกไปผลิตนอกประเทศต้องหยุดชะงักลง เมื่อราคาทองแดงพุ่งสูงขึ้นและทำให้เศษทองแดงสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้อุปทานเศษทองแดงของสหรัฐฯ เหลือตกค้างอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก สหรัฐฯ ไม่สามารถนำไปถลุงได้ทัน</li></ol>&nbsp;<ol style="list-style-type:decimal;" start="2"><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:0.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">ในระยะยาว เขาต้องการลดการพี่งพาอุปทานทองแดงจากต่างประเทศ แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีแร่ทองแดงจำนวนมากแต่ขาดกำลังการผลิต ขณะนี้ ร้อยละ 36 ของทองแดงที่บริโภคในประเทศ มาจากการนำเข้า และมีสัญญาณว่า สหรัฐฯ จะยังคงจำเป็นต้องพี่งพาทองแดงจากแหล่งอุปทานนอกประเทศอยู่ต่อไปในอนาคต</li></ol>&nbsp;<ol style="list-style-type:decimal;" start="3"><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:0.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">มีการคาดการณ์ว่า ในอนาคตอันใกล้ ความต้องการทองแดงของหลายภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีความ สำคัญอย่างมากต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น data centers, ผู้ผลิตรถยนต์ ธุรกิจพลังงาน ระบบการขนส่งที่เป็น renewal energy การผลิต semiconductors เรือสินค้า และ ลิเทียม-ไอออนแบตเตอรี่ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาแหล่งผลิตนอกประเทศมากขึ้น ที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ</li></ol>อุตสาหกรรมทองแดงสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าทองแดง และได้เตือนว่า การขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงจะนำไปสู่การเติบโตของการนำเข้าผลิตภัณฑ์สินค้าทองแดง ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 50&nbsp; อุตสาหกรรมทองแดงสหรัฐฯต้องการเพียงการจำกัดการส่งออกแร่ทองแดงและเศษทองแดงเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่มา: 	1.&nbsp; SupplyChain Dive: “US to levy 50% copper tariffs Aug. 1”, by Philips Neuffer, July 10, 20254. Bloomberg: “Copper Market in Turmoil as Trump Touts 50% Tariff on US Imports”, by Katharine Gemmell and Martin Ritchie,&nbsp; July 9, 20255. The New York Times: “Looming Copper Tariffs Leave Companies Scrambling: ‘Prices Will Go Up’”, by Farah Stockman and Peter Eavis, July 10, 2025, 5:44 p.m. ET&nbsp;ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็น สคต. ลอสแอนเจลิส&nbsp;<figure class="image"><img alt="TTCLA_USNews-July2025-W3-1 copy.jpg" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/TTCLA_US_News_July2025_W3_1_copy_b5ee48d961.jpg" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_TTCLA_US_News_July2025_W3_1_copy_b5ee48d961.jpg 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_TTCLA_US_News_July2025_W3_1_copy_b5ee48d961.jpg 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_TTCLA_US_News_July2025_W3_1_copy_b5ee48d961.jpg 750w" sizes="100vw" width="750"></figure>&nbsp;การนำเข้าทองแดงและสินค้าทองแดงมูลค่าเพิ่มของสหรัฐฯ ในระหว่าง 5 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่า 10,460.76 ล้านเหรียญฯ สูงกว่าระยะเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึงร้อยละ 73.10 สินค้าทองแดงมูลค่าเพิ่มที่สหรัฐฯ นำเข้าจากประเทศไทย มีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงมากเช่นกัน มีความเป็นไปได้ที่การขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตและส่งออกสินค้าทองแดงมูลค่าเพิ่มของไทย ที่จำเป็นต้องจับตามอง&nbsp;&nbsp;<figure class="image"><img alt="TTCLA_USNews-July2025-W3-1.jpg" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/TTCLA_US_News_July2025_W3_1_58c90b3fd0.jpg" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_TTCLA_US_News_July2025_W3_1_58c90b3fd0.jpg 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_TTCLA_US_News_July2025_W3_1_58c90b3fd0.jpg 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_TTCLA_US_News_July2025_W3_1_58c90b3fd0.jpg 750w" sizes="100vw" width="750"></figure><figure class="image"><img alt="TTCLA_USNews-July2025-W3-2.jpg" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/TTCLA_US_News_July2025_W3_2_96936f1353.jpg" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_TTCLA_US_News_July2025_W3_2_96936f1353.jpg 245w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_TTCLA_US_News_July2025_W3_2_96936f1353.jpg 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_TTCLA_US_News_July2025_W3_2_96936f1353.jpg 750w" sizes="100vw" width="750"></figure>สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส กรกฏาคม 2568&nbsp;&nbsp;

medium_TTCLA_Tariff Copper_July2025-ditp.jpg

small_TTCLA_Tariff Copper_July2025-ditp.jpg

thumbnail_TTCLA_Tariff Copper_July2025-ditp.jpg

TTCLA_Tariff Copper_July2025-ditp.jpg

สหรัฐอเมริกาวางแผนขึ้นภาษีนำเข้าทองแดง (copper) ร้อยละ 50 วันที่ 1 สิงหาคม 2568

ภายใต้นโยบาย “Make America Healthy Again” Mr. Robert F. Kennedy Jr. ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้บริหาร Department of Health and Human Services ที่รวมถึง USFDA ได้ประกาศเป้าหมายแรกของการทำงาน คือ การห้ามใช้สีย้อมสังเคราะห์ในการผลิตสินค้าอาหาร โดยอ้างว่า มีการวิจัยพบว่า สีย้อมสังเคราะห์ผลิตจากปิโตรเลียมเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะจะส่งผลกระทบเป็นความผิดปกติต่อพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก&nbsp;&nbsp;มีการวิจัยพบว่า 1 ใน 5 ของอาหารในสหรัฐฯ และโรงงานผลิตอาหารรายใหญ่ 25 อันดับแรกของสหรัฐฯ ใช้สีย้อมสังเคราะห์ อาหารกลุ่มที่ใช้สีสังเคราะห์มากที่สุดคือ snack และ candy mนอกจากนี้ยังรวมถึงกลุ่มซ๊อสและอาหารที่ผ่านเข้ากระบวนการเก็บรักษาบางราย ที่มีกระบวนการผลิตในระดับสูง (ultra-processed foods) และได้รับความนิยมบริโภคกว้างขวางในสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;ในเดือนเมษายน 2568 USFDA ได้ประกาศสั่งยกเลิกสีที่เคยได้รับการรับรองจาก USFDA ได้แก่ Citrus Red 2 และ Orange B และอยู่ในระหว่างดำเนินงานเพื่อยกเลิกการใช้สี Red 40, Green 3, Yellow 5, Yellow 6, Blue 1 และ Blue 2 ในอุปทานอาหาร ภายในสิ้นปี 2569&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันโรงงานผลิตอาหารรายใหญ่ของสหรัฐฯ หลายรายที่ใช้สีสังเคราะห์ เช่น Nestle, ConAgra, Kraft Heinz, General Mills และ PepsiCo อยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อยกเลิกการใช้สีสังเคราะห์ โดยส่วนใหญ่มีกำหนดยกเลิกหมดภายในสิ้นปี 2570 และพยายามแสวงหาสีธรรมชาติมาใช้ในการผลิต&nbsp;โรงงานผลิตสินค้าอาหารที่ยังไม่ยินยอมยกเลิกการใช้สีสังเคราะห์ในขณะนี้ เช่น Kellogg’s, WK Kellogg และ Mars ด้วยเหตุผลว่า การเปลี่ยนไปใช้สีธรรมชาติจะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการผลิตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 และนโยบายเรื่องการใช้สีสังเคราะห์ในอาหารได้มีการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาโดยตลอด&nbsp;&nbsp;นอกจาก USFDA แล้ว หลายมลรัฐได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องการใช้สีสังเคราะห์ในอาหาร เช่น&nbsp;<ol style="list-style-type:decimal;"><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:5.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ผ่านกฎหมาย California Food Safety Act (AB418) ในปี 2023 ห้ามใช้สี Red No. 3 และสีอื่นๆที่ USFDA รับรองว่าปลอดภัย รวมถึง brominated vegetable oil, potassium bromate และpropylparaben กฎหมายนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2570</li><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:0.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">รัฐเท๊กซัส ในเดือนมีนาคม 2568 ได้ออกกฎหมายห้ามการใช้ส่วนสีผสมอาหารหลายรายการรวมถึง Red No. 3 ในอาหารที่ให้บริการนักเรียนในโรงเรียน และได้ออกกฎหมาย Senate Bill 25 กำหนดว่า สินค้าที่ผลิตหลังวันที่ 1 มกราคม 2570 โรงงานผลิตต้องติดฉลากเตือน “warning label” บนสินค้าที่มีส่วนผสม 50 รายการตามที่ USFDA รับรอง ที่รวมถึงสีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหาร และส่วนผสมอาหาร รวมที่เป็นสีสังเคราะห์ และสารเคมี ที่เป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศออสเตรเลีย แคนาดา สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป</li><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:0.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">รัฐหลุยเซียน่าและรัฐมิสซูรี่ กำลังดำเนินรอยตามรัฐเท๊กซัส โดยกฎหมายยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา</li><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:0.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">รัฐเวสเวอร์จิเนีย ออกกฎหมาย House Bill 2354 ในเดือนมีนาคม 2568 ห้ามขายสินค้าอาหารบางรายการที่มีส่วนผสมสี Red 3, Red 40, Yellow 5, Yellow 6, Blue 1, Blue 2 และ Green 3 โดยจะมีผลบังคับใช้ ในปี 2571</li><li style="color:#000000;font:16.0px Helvetica;margin-bottom:0.0px;margin-right:0.0px;margin-top:0.0px;">รัฐเวอร์จิเนียออกกฎหมาย House Bill 1910 และ Senate Bill 1289&nbsp; ห้ามใช้สีสังเคราะห์ 7 รายการ รวมถึง Red 3 ใส่ในอาหารกลางวันสำหรับเด็กนักเรียน โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กรกฏาคม 2570</li></ol>&nbsp;ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นของ สคต. ลอสแอนเจลิสตลาดสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติในสหรัฐฯ กำลังเติบโตอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคสหรัฐฯ เห็นถึงความเสี่ยงของการบริโภคสารเคมีและ ต้องการอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ คาดการณ์ว่าในระหว่างปี 2023 ถึง 2030 ตลาดสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติในสหรัฐฯ จะเติบโตในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี&nbsp;&nbsp;สีผสมอาหารที่เป็นที่ต้องการและมีการใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหารคือ Red 40, Yellow 5 และ Yellow 6 สีผสมอาหารจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐฯ คือ beta-carotene ที่เกิดขึ้นในผักและผลไม้ และที่กำลังมีความต้องการในตลาดสูงคือสีฟ้าและสีเขียวที่มาจากการสกัดจากสาหร่าย Spirulina เชื่อกันว่าสีที่สกัดจาก Spirulina และ Carotenoids นอกจากจะมีสีที่เข้มข้นแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ&nbsp;&nbsp; กฎหมาย Federal Food, Drug, and Cosmetic Act (Chapter VII, section 721) สหรัฐฯ กำหนดว่า สีที่ใช้ในการผสมอาหาร ก่อนที่จะนำมาใช้ต้องได้รับการยอมรับ (approve) จาก USFDA ก่อนว่าปลอดภัย&nbsp;เมื่อเดือนเมษายน 2568 USFDA ได้ประกาศยอมรับสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติ 3 รายการ คือ &nbsp;1. สีฟ้า ที่สกัดจากเซลสาหร่าย Galdieria Suuphuraria เพื่อใช้เพิ่มสีในเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล เครื่องดื่มจากผักและผลไม้ ใน fruit/dairy-based smoothies, โยเกิร์ตhard/soft candy, ไอสครึม ผลไม้แช่เยือกแข็ง อาหารหวานจากวุ้น พุดดิ้ง คัสตาร์ด เป็นต้น&nbsp;&nbsp;2. สีฟ้าเฉดต่างๆ รวมถึงเฉดสีม่วงเข้ม และเขียว ที่สกัดจาก butterfly pea flower หรือดอกอัญชัน เดิมได้รับการยอมรับจาก USFDA ให้ใช้ในเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล ชา candy ไอสครีม และโยเกิร์ต เป็นต้น ปัจจุบัน ได้รับการยอมรับให้ใช้ใน ready-to-eat Cereals, crackers, snack mixes, hard pretzels, plain potato chips, corn chips, tortilla chips และ multigrain chips&nbsp;&nbsp;3. สีขาว สกัดจาก calcium phosphate ได้รับการอนุญาตให้ใช้ในสินค้า ready-to-eat chicken, white candy Melts, doughnut sugar และ น้ำตาลที่ใช้ในการเคลือบ Candy&nbsp;&nbsp;การเติบโตตลาดและความต้องการสินค้าสีผสมอาหารผลิตจากธรรมชาติ สร้างโอกาสให้แก่ประเทศไทยที่มีศักยะภาพสูง ที่อาจนำไปใช้ในการพัฒนาเพื่อการผลิตและส่งออกสีผสมอาหารที่ผลิตจากธรรมชาติ เพราะมีวัตถุดิบและความรู้ความสามารถในการผลิต เช่น ใบเตยหอม ใบย่านาง ใบตะไคร้ สำหรับผลิตสีเขียว กระเจี๊ยบแดง สำหรับผลิตสีแดง และดอกอัญชัญ สำหรับผลิตสีม่วง เป็นต้น&nbsp;&nbsp;สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส กรกฏาคม 2568

medium_TTCLA_Food Coloring_July2025-ditp.jpg

small_TTCLA_Food Coloring_July2025-ditp.jpg

thumbnail_TTCLA_Food Coloring_July2025-ditp.jpg

TTCLA_Food Coloring_July2025-ditp.jpg

สหรัฐอเมริกาห้ามใช้สีสังเคราะห์ในการผลิตอาหาร และเป็นโอกาสสินค้าสีผสมอาหารจากธรรมชาติ

อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์สหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตรถยนต์ เช่น เบรค ระบบบังคับเลี้ยว (steering mechanism) ที่นั่ง ที่ปัดน้ำฝน ประตู และระบบเสียง เป็นต้น ที่ต้องใช้ rare earth magnet เป็นวัตถุดิบในการผลิต สาเหตุการขาดแคลนสืบเนื่องมาจาก รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายควบคุมการส่งออก ด้วยการบังคับผู้ผลิตและส่งออก rare earth magnet&nbsp; จัดทำระบบอิเล็กทรอนิกส์ติดตามสินค้าและรายงานแจ้งปริมาณการค้าและชื่อของลูกค้า เพื่อรับคำอนุมัติให้ส่งออกได้ ทำให้กระบวน&nbsp; การส่งออกต้องใช้เวลานานกว่าเดิมการติดขัดของระบบห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ ทำให้เกิดสภาวะขาดแคลนอุปทาน ส่งผลให้โรงงานผลิตรถยนต์ Ford ของสหรัฐฯต้องยุติการผลิตรถยนต์นานกว่าสามสัปดาห์แล้ว แม้ว่า ในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่แร่ธาตุหายาก – rare earth เป็นเงื่อนไขสำคัญในการเจรจา โดยสหรัฐฯ และจีน ตกลงยอมรับกรอบการทำงาน ที่จีนจะยินยอมผ่อนปรนการควบคุมการส่งออก rare earth magnet และจะเร่งกระบวนการออกใบอนุญาตส่งออกไปยังผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯและสหภาพยุโรปให้เร็วมากยิ่งขึ้น และให้กลับเข้าสู่สภาวะเดิมก่อนเกิดสงครามทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯ จะผ่อนปรนการควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนเครื่องยนต์เจ็ทและซอฟแวร์ไปยังจีน แต่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์สหรัฐฯ ยังคงเห็นถึงความเสี่ยงของการพึ่งพา rare earth magnet จากจีนมากเกินไปและความจำเป็นต้องเร่งหาอุปทานทางเลือกอื่นไว้รองรับ&nbsp; rare earth magnet ไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการผลิตรถยนต์แต่อย่างเดียว หากยังเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิต เครื่องมือสื่อสาร เช่น cell phone การผลิต computer hard drives การผลิตเครื่องมือในการสร้างพลังงานสะอาด เช่นพลังงานลม เครื่องมือหลายรายการที่จำเป็นต้องใช้ในทางการแพทย์ ในภาคอุตสาหกรรม และในการผลิตสินค้าเทคโนโลยี่ก้าวหน้า เช่น AI และอุตสาหกรรมอวกาศ รวมถึงอุปกรณ์สำคัญๆทางการทหารหลายรายการที่มา: 1. Quartz: “Car companies are in 'full panic' as China blocks rare-earth magnets: There are signs that China is slowly easing up on &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; restrictions that are crippling supply chains, Updated June 09, 2025, By Joseph Zeballos-Roig &nbsp; &nbsp; &nbsp; 2. SupplyChainBrain: “Ford Forced to Idle Multiple U.S. Plants Over China Magnet Shortage”, By Bloomberg, July 1, 2025 &nbsp;ข้อมูลเพิ่มเติม และข้อคิดเห็น สคต ลอสแอนเจลิส 1. มีประมาณการณ์ว่าตลาด rare earth magnet สหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 86 ล้านเหรียญฯในปี 2567 ความต้องการมีการเติบโตอย่างมากและต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าในปี 2032 มูลค่าตลาดจะเท่ากับ 175 ล้านเหรียญฯ&nbsp; 2. Rare earth magnet ที่เป็นที่นิยมและต้องการมากที่สุดในสหรัฐฯ คือ Neodymium-iron-boron (NdFeB) และ Samarium Cobalt (SmCo) ที่เป็น rare earth magnets พื้นฐาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3. แม้ว่าสหรัฐฯ จะผลิต rare earth magnet ได้แต่ไม่พอเพียงต่อความต้องการบริโภคในประเทศ จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าจากจีน 4. ประเทศไทยมีการผลิตแร่หายากที่อาจนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต rare earth magnet ได้ แม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็ยังมีโอกาสในการผลิตส่งออก หรืออาจเป็นฐานการผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ rare earth magnet ได้ รายงานของ U.S. Geological Survey (USGS) ระบุว่า ในปี 2567 ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่สามารถผลิต Rare Earths ได้ ผลผลิตประมาณ 13,000 เมตริกตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 สูงถึงร้อยละ 261 และมีโรงงานผลิตที่โคราช<figure class="image"><img alt="TTCLA_USNews_July2025_W1_1.jpg" src="https://files-website.ditp.go.th/uploads/TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg" srcset="https://files-website.ditp.go.th/uploads/thumbnail_TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg 197w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/small_TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg 500w, https://files-website.ditp.go.th/uploads/medium_TTCLA_US_News_July2025_W1_1_560df839b7.jpg 750w" sizes="100vw" width="750"></figure>&nbsp;

TTCLA_USNews_July2025_W1_Rare Earth Magnet.pdf

สหรัฐอเมริกาขาดแคลน rare earth magnets สำหรับการผลิตรถยนต์

"duangpornm@ditp.go.th"